วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

ห้องนอน…ซ่อนภูมิแพ้

ปัจจุบันคนเป็นภูมิแพ้กันมากขึ้น โดยหลายคนอาจไม่ทราบว่าปัญหาภูมิแพ้เริ่มต้น หรือ กำเริบรุนแรงขึ้น เพราะ ตัวกระตุ้น หลายอย่างซ่อนอยู่ในห้องนอนของคุณ
            อาการจามเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปภายในจมูก หนึ่งในสาเหตุที่สำคัญมาจากฝุ่นหรือไรฝุ่นที่เกิดขึ้นบนที่นอน
            ละอองเกสรดอกไม้ ควันบุหรี่ เชื้อรา ไอระเหยของสารเคมี ขี้แมลงสาบ ล้วนแต่สามารถกระตุ้นอาการภูมิแพ้ และส่งผลต่อการเจ็บป่วยของร่างกายของเราในที่สุด หลายสาเหตุที่กล่าวมามักซ่อนอยู่ในห้องนอนของคุณ
            สำรวจห้องนอนของคุณจะเต็มไปด้วยฝุ่นหรือไร้ฝุ่นหรือไม่ การได้นอนหลับพักผ่อนภายในห้องนอนที่มีอากาศสะอาด ปราศจากฝุ่นหรือไร้ฝุ่น จะช่วยทำให้ร่างกายของคุณสดชื่นหรือฟื้นคืนจากการเจ็บป่วยได้เร็วขึ้น
            พื้นกห้องนอนของคุณปูด้วยพรมหรือไม่ นับเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะพรมกลายเป็นแหล่งสะสมของไรฝุ่นที่เป็นตัวก่อภูมิแพ้ และดูแลทำความสะอาดได้ยากมากกว่าพื้นไม้หรือกระเบื้อง
            ผ้าปูที่นอน ผ้านวม ผ้าห่ม ปลอกหมอน ควรถอดซักได้และควรเปลี่ยอยู่เสมอ ซักทำความสะอาดที่อุณหภูมิที่ไม่ต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียส เพราะอุณหภูมิที่ต่ำกว่า50 องศาเซลเซียส จะไม่สามารถฆ่าไรฝุ่นในชุดเครื่องนอนได้
            ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบสูบบุหรี่ในห้องนอน ใช้น้ำหอมปรับอากาศหรือน้ำยาในห้องนอนพร้อม ๆ กับเปิดเครื่องปรับอากาศใช่หรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง
ผ้าม่าน ตู้ โต๊ะ พรม สีทาผนัง ควรพิจารณาเลือกซื้อชนิดที่ไม่ใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพในการผลิต ปัจจุบันผู้ผลิตสินค้าประเภทนี้เริ่มหันมาให้ความสำคัญต่อเรื่องดังกล่าว
            เปิดหน้าต่างบ้าง บ้านไหนที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ควรเปิดหน้าต่างให้อากาศในห้องได้ถ่ายเทบ้าง หรือ ปล่อยให้แสงแดดส่งเข้ามาบ้างสัปดาห์ละครั้งหรือ 2 ครั้งก็ยังดี
            เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมมาดูแลรักษาห้องนอนของคุณให้สะอาดอยู่เสมอ จะได้ห่างไกลจากโรคภูมิแพ้

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

นมแม่




"เครียดทำให้ให้น้ำนมน้อย ความเครียดทำให้น้ำนมน้อยลง ซึ่งบางครั้งคุณแม่ก็ไม่สามารถหลีกเหลี่ยงต่อความเครียดได้แต่คุณแม่ควรให้ลูกกินนมหรือบีบนม ไว้ให้ลูกน้อยกินอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้คุณแม่ยังมีน้ำนมอยู่แม้จะน้อยลงบ้างหลังจากที่จัดการกับความเครียดได้แล้วปริมาณน้ำนมจะกลับมาเหมือนเดิม"

        หลังจากที่องค์การอนามัยโลกได้ศึกษาและค้นคว้าอย่างจริงจัง เป็นระยะเวลานานเกือบ 6 ปี จึงประกาศให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน เพราะดีต่อสุขภาพร่ายหลายด้าน และ หากคุณแม่ให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนเต็ม จะมีผลดีกับลูกและแม่มากกว่าให้กินแค่ 4 เดือน คือ

1. ลูกได้อาหารไปเลี้ยงสมองเหมาะสมและกล้วย นมแม่จะมีคุณภาพดีกว่า เพราะในนมแม่มีไขมันชนิดพิเศษ คือ กรดไขมันอิ่มตัว DHA ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตของสมอง

2. ลูกมีอาการท้องเสีและติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจน้อยกว่า มีข้อมูลว่าเด็กทีกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนมีโอกาสท้องเสียและปอดบวมน้อยกว่เด็กที่ได้นมแม่แต่อย่างเดียว 4 เดือนประมาณ 2-3 เท่าเมือเปรียบเทียบกับเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่

3. คุณแม่ไม่ขาดธาตุเหล็ก เพราะมีระยะปลอดประจำเดือนนานขึ้น แต่ก็มีคุณแม่หลายท่านกังวลว่าหากให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนจะทำให้ลูกขาดธาตุเหลือหรือไม่ ซึ่งจาการศึกษาพบว่าหากคุณแม่มีสุขภาพดี น้ำนมแม่ก็จะมีธาตุเหล็กที่เพียงพอ โดยร่างกายของลูกจะสามารถดูดซึมธาตุเหล็กจากน้ำนมแม่ได้ประมาณ 50% แต่ถ้ากินอาหารเสริม เช่น ข้าวและกล้วย จะทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กในนมแม่เหลือเพียง 10% เท่านั้น

4. ทำให้คุณแม่มีน้ำหนักหลังคลอดได้เร็วกว่าและช่วยเรื่องคุมกำเนิดซึ่งการควบคุณกำเนิดวิธีนี้จะมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์เพียง 1% เท่านั้น แต่ต้องตามหลักการนี้คือกินนมอย่างเดียวแล้วจะต้องไม่มีประจำเดือน เพราะการมีประจำเดือนแสดงว่ารังไข่เริ่มทำงาน ระยะของการให้นช่วงกลางคืนต้องสม่ำเสมอ

5. ในขณะที่ลูกกินนมแม่ จะได้บอ้อมกอดคุณภาพวันละ 8-10ครั้งลูกน้อยจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รับรส ได้รู้จักากรเคลื่อนไหว ช่วยกระตุ้นโครงข่ายของเส้ยใยประสาท เชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง ถ้าไม่มีสัมผัส คุณภาพสมองจะเสียการโยงระหว่างเซลล์สมองต่อกันและฝ่อไปอย่างน่าเสียดาย

6. เด็กที่กินนมแม่ป่วยน้อยกวาเด็กที่กินนมผสม 2 ถึง 7 เท่า ทำให้เด็กมีพัฒนาการและการเจริญเติบโดได้ดี โดยพบว่าเด็กที่กินนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือนจะมีกราฟการเจริญเติบโตเต็มที่และอยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะที่เด็กป่วยบ่อยๆ จะส่งผลต่อการเจริญติบโต คือ การเจริญเติบโตจะช้าลง ต่ำกว่ามาตราฐาน เบื่ออาหารกินอาหารได้ไม่มาก

หลังคลอดความสะอาดสำคัญนะ

หลังคลอดความสะอาดสำคัญนะ

เพราะในช่วงหลังคลอด ความสกปรกมีโอกาสมาเยือนร่างกายคุณแม่ได้ง่ายจนอาจกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้ความสะอาดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ

ระวัง! ความสกปรกหลังคลอด
       หลังคลอดเปรียบเสมือนกับช่วงหลังออกกำลังกายอย่างหักโหม มาหมาดๆ นอกจากจะเกิดความอ่อนเพลียอย่างมากแล้ว ร่างกายของคุณแม่ก็ได้กลายเป็นแหล่งสะสมความสกปรกและเชื้อโรคไปเรียบร้อย
        * เริ่มตั้งแต่ขณะรอคลอด ซึ่งคุณแม่ต้องนอนอยู่ในห้องคลอดเป็นเวลานาน ร่างกายเหนียวเหนอะหนะ หมักหมมไปด้วยคราบเหงื่อไคล และ ของเสียต่างๆ และไม่สามารถอาบน้ำชำระร่างกายได้เพราะมีอาการปวดจนอ่อนเพลียากการคลอดและฤทธิ์ยาแก้ปวด
        * หลังคลอดร่างกายของคุณแม่ก็เปื้อนเปรอะด้วยคราบเลือด น้ำคาวปลา ที่แม้จะทำความสะอาดไปบ้างแต่ก็ยังไม่สะอาด 100%
        * ถึคราวที่คุณแม่ออกจากโรงพยาบาล กลับมาฟื้นฟูร่างกายและดูแลลูกน้อยที่บ้าน โดยเฉพาะช่วงสัปดาห์แรกๆหลังคลอด ที่ร่างกายและส่วนต่างๆ ยังไม่กลับเข้าสู่สภาะปกติ ชั้นไขมัน ที่ยังคงหนาอยู่ เหงื่อออกมาก ที่สำคัญยังมีน้ำคาวปลา คราบน้ำมัน กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ รวมถึงแผลหลังคลอดที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ จึงต้องใส่ใจเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ

สะอาดทั้งตัว หัวจรดเท้า
        การดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของคุณแม่หลังคลอดก็เหมือนกับคนทั่วไป เพียงต้องเพิ่มควาใส่ใจเป็นสองเท่า ด้วยการอาบน้ำบ่อยๆ สระผม แปรงฟันให้สะอาด ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้นเสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค และสิ่งที่ต้องดูแลเป็นพิเศษก็คือ เรื่องของเหงื่อไคล และ กลิ่นไม่ถึงประสงค์ ซึ่งจะมีมากกว่าตอนที่ไม่ตั้งท้อง ฉะนั้นตามข้อพับ จุดอับต่างๆ เช่น รักแร้ แขนพับ ขาพับ หรือ ขาหนีบ ต้องคอยหมั่นสำรวจไม่ให้เกิดความอับชื้น ที่อาจกลายเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียได้
        นอกจากนี้ควรจะสวมใส่เสื้อผ้าสะอาด ไม่อับชื้น เมื่อพบว่าเสื้อผ้าเกิดความสกปรก ไม่ว่าจากคราบน้ำนม น้ำคาวปลา หรือ ของเสียต่างๆ ควรเปลี่ยนทันที เพราะเสื้อผ้าสกปรก แฉะชื้น เป็นที่ชื่นชอบของเชื้อโรค

เรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ
        อาบน้ำเรียกความสดชื่น คุณแม่จะช่วยเหลือตัวเองได้ภายหลังจากคลอดเสร็จประมาณ 12-24 ชั่วโมง ซึ่งสามารถอาบน้ำชำระล้างร่ายกายรวมถึงสระผมให้สะอาดได้ทันทีโดยไม่มีอันตราย ช่วงสัปดาห์แรกๆ คุณแม่อาจต้องใส่ใจเรื่องการอาบน้ำเป็นพิเศษ โดยอาบบ่อยกว่าปกติ เพราะคุณแม่จะมีเหงื่อออกมากเหนียวเหนอะหนะ นอกจากไม่สบายกายแล้วยังทำให้ไม่สบายใจไปด้วย ซึ่งหลักคลอดมีโอกาสที่คุณแม่เกิดภาวะซึมเศร้าเครียดได้ง่าย จึงต้องทำตัวเองให้สดชื่นตลอดเวลาด้วยการอาบน้ำที่สามารถเรียกความสดชื่นกลับมาได้ทั้งกายและใจ
        ไม่ว่าจอาบน้ำเย็น หรือ น้ำอุ่น ควรใข้วิธีตักราด หรือ อาบจาฝักบัว ไม่ควรแช่ในอ่าง หรือ ถ้าแช่ก็ทำได้แต่ไม่ให้นาพอขึ้นจากอ่างคุณแม่ต้องใช้ผักบัวรดหรือใช้ขันตักน้ำสะอาดราดตัวอีกครั้ง เพราะการอาบน้ำแบบแช่ อาจทำให้เชื้อโรคเข้าสู่แผลและช่องคลอดได้ แถมยังมีน้ำคาวปลาที่จะไหลมาปะปนกับน้ำในอ่าง แทนที่จะช่วยให้สะอาดก็จเป็นการเพิ่มความสกปรกได้
        สำหรับคุณแม่ที่ผ่าท้องคลอด เนื่องจากมีแผลหน้าท้อง จึงต้องระวังไม่ให้แผลโดนน้ำในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอด อาจใช้การเช็ดตัวแทนการอาบน้ำไปก่อน พอแผลเริ่มแห้งจึงอาบน้ำแต่ต้องมีพลาสติกหรือผ้ายางปิดกันไว้บ้าง ส่วนคุณแม่หมดปิดแผลด้วยพลาสติกหรือฟิลมป้องกันน้ำ สามารถอาบน้ำในช่วงแรกๆหลังคลอดได้ เพียงแต่ต้องระวังอย่าให้มีน้ำเล็ดลอดเข้าไปในได้แผลได้ ส่วนเรื่องสระผมควรมีคนช่วย หรือเข้านใช้บริการช่างทำผลเพื่อความสะดวก

สะอาด.... ได้มากกว่าความสะอาด
        เมื่อร่างกายได้รับการดูแลจนสะอาดสะอ้านแล้ว จะเป็นผลดีตอการฟื้นฟูสุขภาพ โดยไม่ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ ทั้งทางแผลหลังคลอดและช่องคลอด ไม่เพียงเท่านั้น สุขภาพจิตของคุณแม่ก็พลอยดี สดชื่น แจ่มใส่ไปด้วย ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดก็น้อยลง ความหงุดหงิด ความเครียดก็เบาบางลงเช่นกัน
        นอกจากนี้ผลพลอยได้ที่สำคัญคือเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียต่างๆจากร่างกายของคุณแม่ ไม่มีสิทธิ์ที่จะแพร่กระจายไปยังลูกน้อยได้ เพราะถูกกำจัดไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยการทำความสะอาดนั่นเอง

มารู้จัก แกงกลิโอไซด์ กันเถอะ

มารู้จัก แกงกลิโอไซด์ กันเถอะ

        ในประเทศญี่ปุ่นอยางที่ทราบกันคนญี่ปุ่นเป็นคนที่อนามัยจัดมาก และจริงๆแล้วมีงานวิจัยในญี่ปุ่นเยอะแยะที่ไม่ได้ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่ได้เอานมแม่มาตรวจทำการวิจัย และพบว่าสารอาหารกลุ่มหนึ่งที่มีชื่อว่า "แกงกลิโอไซด์" ซึ่งเป็นสารอาหารกลุ่มหนึ่งที่ไม่ใช่โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ วิตามิน ไม่ใช่ทั้ง 5 กลุ่ม มันเป็นสารที่มีอยู่นมแม่เท่านั้น โดย "แกงกลิโอไซด์" จะทำงานหลักๆอยู่ 3 อย่าง

1. เป็นใยอาหารที่คล้ายผัก แต่มีโมเลกุลที่เล็กมากละลายในนมแม่ได้ ลอยอยู่ในลำไส้ คอยดักจับพวกไวรัสและสารพิษแบคทีเรียทั้งหลาย ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้เด็กติดเชื้อ

2. สารส่วนหนึ่งที่มีชื่อว่า "ไซอะลิค แอซิด" ซึ่งอยู่ใน "แกงกลิโอไซด์" จะช่วยสร้างเนื้อสมองของเด็ก เพราะพบสารนี้ในสมองเด็กเป็นจำนวนมาก


3. เป็นอาหารของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อลำไส้เมื่อนำอุจาระของเด็กที่ทานนมแม่ จะพบแบคทีเรียที่เป็นมิตร เช่น แลคโตบาซิลลัส ไบฟิดัส ซึ่ง "แกงกลิโอไซด์" จะเป็นสารอาหารของแบคทีเรียกลุ่มนี้ ทำใหมันเจริญเติบโตได้ดี ขณะเดียวกันแบคทีเรียที่ไม่เป็นมิตร หรือ แบคทีเรียร้ายจะไม่ชอบอาหารอย่าง "แกงกลิโอไซด์" มันจึงไม่ค่อยเจริญเติบโต เหมือนเราสร้างกองทัพมิตคอยต่อต้านไม่ให้ศัตรูเจริญเติบโต



*---------------------------------------------------------------------------------------------------------*
"และนี่จึงเท่ากับว่า "แกงกลิโอไซด์" ช่วยทำให้พัฒนาการทางสมองของเด็กปกติดี ใกล้เคียงเด็กที่ทานนมมารดามากขึ้น และมีภูมิคุ้มกันหลังคลอดป้องกันไม่ให้เด็กป่วยบ่อย"
*---------------------------------------------------------------------------------------------------------*

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554

พักบ้างนะ(ว่าที่)คุณแม่สาวทำงานทั้งหลาย

ยุคที่ผู้หญิงเราเป็นสาวแกร่งคนเก่ง แต่พอรู้ตัวว่ากำลังจะเป็นคุณแม่ สาวทำงานหลายคนก็เกิดกังวลขึ้นมานิดๆ เอแล้วเราจะดูแลตัวเองพร้อมกับทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ไหม
          เรามีเทคนิคการดูแลตัวเองในที่ทำงานและแบบได้ผลมาฝาก
·         หยุดพักบ่อยขึ้น
หยุดพัก 15 นาทีทุกๆ 2-3 ชั่วโมง แต่ถ้ากลัวเจ้านายจะเขม่น คุณอาจต่อรองว่า จากที่เคยกลับเข่าที่ทำงานตอนบ่ายโมงตรง คุณอาจเปลี่ยนมาประจำที่โต๊ะตอน 12:45 และขอเก็บเวลาที่เหลืออีก 15 นาทีเอาไว้หยุดพักสั้นๆช่วงบ่ายสามโมงอีกครั้ง

·         เวลาพัก ต้อง พัก
รู้น่าว่าแม่ท้องก็อยากสังสรรค์ แต่อย่าเมาท์เพลินจนลืมเผื่อเวลาให้ตัวหลับตาสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆสัก 5 นาที
·         ตุนเสบียงไว้ที่โต๊ะทำงาน
แม่ท้องไม่ควรปล่อยให้ตัวเองหิวจนไส้กิ่วหาของว่างเบาๆที่เก็บง่าย เช่น เครกเกอร์ห่อเล็กๆติดไว้ที่โต๊ะ การรับประทานของว่างยังช่วยลดอาการคลื่นไส้ช่วงไตรมาสแรกๆได้
·         ดื่มน้ำบ่อยๆ
มีแก้วน้ำหรือขวดน้ำอยู่ใกล้ตัวเองตลอดเวลา พยายามจิบน้ำอย่างน้อย 4 แก้วต่อเวลาทำงาน 8 ชั่วโมง ที่สำคัญคือ ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยไม่กลั้นปัสสาวะ
·         อย่ารากงอดติดอยู่กับโต๊ะ
การลุกขึ้นเดินไปมาช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ลดอาการบวมและป้องกันเส้นเลือดขอด
·         ถ้าคุณทำงานที่ต้องยืนอยู่ตลอดทั้งวัน
ต้องพยายามหาเวลานั่งพัก แล้วยกขาสูงขึ้นทุกๆ 1 ชั่วโมง

Mom Tip!
ตอนท้องจะแช่เท้าในน้ำอุ่นทุกวัน ช่วยเรื่องปวดเมื่อยและปรับสมดุลร่างกายไม่ให้เป็นไข้ (ช่วงตั้งครรภ์เราไม่เป็นหวัดเลย) ถ้าเจ็บคอหรือไอ จะกลั้วคอด้วยน้ำอุ่นผสมเกลือ หายระคายคอเลย

Safe Sex in Whole 9 Months รักระหว่างตั้งครรภ์อย่างไร

Safe Sex in Whole 9 Months รักระหว่างตั้งครรภ์อย่างไร
สุขใจ + ปลอดภัยที่สุด


ไตรมาส 1 : ถ้าเสี่ง ต้องงดก่อน
ช่วงไตรมาสแรก ถ้าคุณแม่มีความเสี่ยง เช่น มีประวัติการแท้ง คลอดก่อนกำหนด หรือแท้งคุกคาม จำเป็นต้องงดมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดไว้ก่อน เพราะอาจเกิดอันตราย ทำให้เลือดออกทางช่องคลอดจนแท้งได้
การช่วยตัวเอง (Masturbation) ทั้งแบบที่คุณชายเป็นฝ่ายกระทำและแบบที่คุณผู้หญิงเป็นฝ่ายกระทำสามารถทำได้  การช่วยตัวเองไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นการระบายความต้องการอย่างปลอดภัยทั้งสองฝ่าย
ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ควรเปิดใจคุยกันว่าแต่ละคนรู้สึกอย่างไร หากไม่เข้าใจหรือไม่กล้าเปิดอกคุยกันอาจเป็นสาเหตุให้คุณผู้ชายไปกุ๊กกิ๊กนอกบ้านได้ ซ้ำร้ายถ้าคุณผู้ชายไม่ใส่ถุงยางอนามัยป้องกันอาจติดโรคทางเพศสัมพันธ์และนำโรคมาสู่คุณแม่ตั้งแต่โรคเริม หนองใน และน่ากลัวที่สุดคือ โรดเอดส์
ไตรมาส 2: ท่าร่วมรักก็สำคัญ
          หลังจากตรวจว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ว่าที่คุณพ่อคุณแม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดได้ ไม่เกิดอันตรายต่อการเจริญเติบโตของทารก
          ท่วงท่าในการมีเพศสัมพันธ์ ควรหลีกเหลี่ยงท่าที่ผู้ชายอยู่ด้านบน เพราะมดลูกจะถูกกระแทกแรงเกินไป
          ท่าที่ปลอดภัยที่สุดคือ ท่านอนตะแครงหรือถ้าท้องของคุณแม่ไม่ใหญ่เกินไปก็สามารถใช่ท่าที่ฝ่ายหญิงอยู่ด้านบน
ไตรมาสสุดท้าย: ใกล้คลอดแล้ว
          ช่วงไตรมาสสุดท้าย โดยเฉพาะในช่วง 34-36 สัปดาห์ คุณแม่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากมีเพศสัมพันธ์ เพราะเข้าสู่ช่วงใกล้คลอดร่างกายคุณแม่จะอุ้ยอ้าย มิหนำซ้ำยังเริ่มกังวลต่อการคลอดจนทำให้ไม่ค่อยมีอารมณ์ตอบสนอง
          กรณีนี้ หากทางฝ่ายชายมีอารมณ์ทางเพศอาจต้องใช้วิธีช่วยตัวเอง หรือทำรักด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่ทางช่องคลอดไปก่อน
          อย่าเพิ่งคิดว่าเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์เป็นเรื่องลำบาก ธรรมชาติได้มองข้อดีทดแทน นั่นคือ ช่วงตั้งครรภ์เส้นเลือดบริเวณช่องคลอดจะขยายตัวทำให้มีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น และทำให้คุณผู้หญิงเข้าสู่จุดสุดยอดได้ง่ายกว่าตอนไม่ตั้งครรภ์

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

ทำไม "ลูกไม่ยอมให้หอม" ละเนี่ย

ทำไม "ลูกไม่ยอมให้หอม" ละเนี่ย



        เห็นแก้มยุ้ยๆ ตัวกลมๆ คุณพ่อคุณแ่ม่คนไหนก็คงอดใจไม่ไหว ต้องหอมสักฟอด แต่เด็กบางคนกลับออกอาการ "ไม่ชอบสุดๆ" ถึงขั้นเบือนหน้าหนี
       
        เด็กเล็กส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการแสดงความรักจากพ่อแม่หรือคนใกล้ชิด  แต่ก็มีเด็กอีกหลายคนที่ไม่ชอบและรำคาญ นั่นเพราะพวกเขาเริ่มพัฒนาความเป็นตัวตนรวมถึงแสวงหาอำนาจในการควบคุม การ    ปฎิเสธไม่ให้ผู้ปกครอง โดยเฉพาะคุณแม่เข้ามากอดหรือหอม ก็เป็นขั้นตอนหนึ่งของการเรียกร้องอิสระ
       
        หากลูกมีท่่าทีปฏิเสธ แบบนี้ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรดุว่าหรือบังคับฝืนใจ เพราะจะทำให้เด็กยิ่งหนีห่างมากขึ้น การขอร้องหรือกดดัน เช่น "ไม่รักแม่เหรอของแม่หอมหน่อยนะ" ก็ไม่ก่อให้เกิดผลดี หนูๆอาจรู้สึกผิดและยอมให้คุณหอมเหมือนเดิม แต่ในใจของพวกเขาก็ไม่ได้ยินดีตามด้วย

       

 ทางออกที่เราแนะนำคือ.....
  • รอคอยอย่างใจเย็น ให้เวลาพวกหนูปรับตัวเสียหน่อย ใช่ว่าคุณจะต้องถอยห่างหรืองดเว้นการแสดงความรักต่อลูก เดียงแต่อาจปรับวิธีเข้าหาเป็นการสัมผัสแบบอื่น เช่น ลูบหัว โอบโหล่ จูงมือ
  • ถ้าคุณพ่อคุณแม่คนไหนอดใจไม่ไหว อยากจะหอมลูกสักหน่อย ลองชวนลูกมาวิ่งเล่นไล่จับ พอจับพ่อหนูแม่หนูได้แล้วก็กอดแน่นๆ แถมหอมให้อีกฟอดพอหายมันเขี้้ยว หนูๆก็จะเข้าใจว่าการหอมเป็นส่วนหนึ่งของ "เกม" และไม่อิดออดนัก
  • ถ้าบ้านไหนมีลูกหลายคน ขยับหอมลูกอื่นๆ (โดยเฉพาะน้องเล็ก) บ่อยๆเข้าพี่โตหวงตัวจะไม่อิจฉาก็ให้รู้ไป