วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

นมแม่




"เครียดทำให้ให้น้ำนมน้อย ความเครียดทำให้น้ำนมน้อยลง ซึ่งบางครั้งคุณแม่ก็ไม่สามารถหลีกเหลี่ยงต่อความเครียดได้แต่คุณแม่ควรให้ลูกกินนมหรือบีบนม ไว้ให้ลูกน้อยกินอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้คุณแม่ยังมีน้ำนมอยู่แม้จะน้อยลงบ้างหลังจากที่จัดการกับความเครียดได้แล้วปริมาณน้ำนมจะกลับมาเหมือนเดิม"

        หลังจากที่องค์การอนามัยโลกได้ศึกษาและค้นคว้าอย่างจริงจัง เป็นระยะเวลานานเกือบ 6 ปี จึงประกาศให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน เพราะดีต่อสุขภาพร่ายหลายด้าน และ หากคุณแม่ให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนเต็ม จะมีผลดีกับลูกและแม่มากกว่าให้กินแค่ 4 เดือน คือ

1. ลูกได้อาหารไปเลี้ยงสมองเหมาะสมและกล้วย นมแม่จะมีคุณภาพดีกว่า เพราะในนมแม่มีไขมันชนิดพิเศษ คือ กรดไขมันอิ่มตัว DHA ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตของสมอง

2. ลูกมีอาการท้องเสีและติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจน้อยกว่า มีข้อมูลว่าเด็กทีกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนมีโอกาสท้องเสียและปอดบวมน้อยกว่เด็กที่ได้นมแม่แต่อย่างเดียว 4 เดือนประมาณ 2-3 เท่าเมือเปรียบเทียบกับเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่

3. คุณแม่ไม่ขาดธาตุเหล็ก เพราะมีระยะปลอดประจำเดือนนานขึ้น แต่ก็มีคุณแม่หลายท่านกังวลว่าหากให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนจะทำให้ลูกขาดธาตุเหลือหรือไม่ ซึ่งจาการศึกษาพบว่าหากคุณแม่มีสุขภาพดี น้ำนมแม่ก็จะมีธาตุเหล็กที่เพียงพอ โดยร่างกายของลูกจะสามารถดูดซึมธาตุเหล็กจากน้ำนมแม่ได้ประมาณ 50% แต่ถ้ากินอาหารเสริม เช่น ข้าวและกล้วย จะทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กในนมแม่เหลือเพียง 10% เท่านั้น

4. ทำให้คุณแม่มีน้ำหนักหลังคลอดได้เร็วกว่าและช่วยเรื่องคุมกำเนิดซึ่งการควบคุณกำเนิดวิธีนี้จะมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์เพียง 1% เท่านั้น แต่ต้องตามหลักการนี้คือกินนมอย่างเดียวแล้วจะต้องไม่มีประจำเดือน เพราะการมีประจำเดือนแสดงว่ารังไข่เริ่มทำงาน ระยะของการให้นช่วงกลางคืนต้องสม่ำเสมอ

5. ในขณะที่ลูกกินนมแม่ จะได้บอ้อมกอดคุณภาพวันละ 8-10ครั้งลูกน้อยจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รับรส ได้รู้จักากรเคลื่อนไหว ช่วยกระตุ้นโครงข่ายของเส้ยใยประสาท เชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง ถ้าไม่มีสัมผัส คุณภาพสมองจะเสียการโยงระหว่างเซลล์สมองต่อกันและฝ่อไปอย่างน่าเสียดาย

6. เด็กที่กินนมแม่ป่วยน้อยกวาเด็กที่กินนมผสม 2 ถึง 7 เท่า ทำให้เด็กมีพัฒนาการและการเจริญเติบโดได้ดี โดยพบว่าเด็กที่กินนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือนจะมีกราฟการเจริญเติบโตเต็มที่และอยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะที่เด็กป่วยบ่อยๆ จะส่งผลต่อการเจริญติบโต คือ การเจริญเติบโตจะช้าลง ต่ำกว่ามาตราฐาน เบื่ออาหารกินอาหารได้ไม่มาก

หลังคลอดความสะอาดสำคัญนะ

หลังคลอดความสะอาดสำคัญนะ

เพราะในช่วงหลังคลอด ความสกปรกมีโอกาสมาเยือนร่างกายคุณแม่ได้ง่ายจนอาจกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้ความสะอาดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ

ระวัง! ความสกปรกหลังคลอด
       หลังคลอดเปรียบเสมือนกับช่วงหลังออกกำลังกายอย่างหักโหม มาหมาดๆ นอกจากจะเกิดความอ่อนเพลียอย่างมากแล้ว ร่างกายของคุณแม่ก็ได้กลายเป็นแหล่งสะสมความสกปรกและเชื้อโรคไปเรียบร้อย
        * เริ่มตั้งแต่ขณะรอคลอด ซึ่งคุณแม่ต้องนอนอยู่ในห้องคลอดเป็นเวลานาน ร่างกายเหนียวเหนอะหนะ หมักหมมไปด้วยคราบเหงื่อไคล และ ของเสียต่างๆ และไม่สามารถอาบน้ำชำระร่างกายได้เพราะมีอาการปวดจนอ่อนเพลียากการคลอดและฤทธิ์ยาแก้ปวด
        * หลังคลอดร่างกายของคุณแม่ก็เปื้อนเปรอะด้วยคราบเลือด น้ำคาวปลา ที่แม้จะทำความสะอาดไปบ้างแต่ก็ยังไม่สะอาด 100%
        * ถึคราวที่คุณแม่ออกจากโรงพยาบาล กลับมาฟื้นฟูร่างกายและดูแลลูกน้อยที่บ้าน โดยเฉพาะช่วงสัปดาห์แรกๆหลังคลอด ที่ร่างกายและส่วนต่างๆ ยังไม่กลับเข้าสู่สภาะปกติ ชั้นไขมัน ที่ยังคงหนาอยู่ เหงื่อออกมาก ที่สำคัญยังมีน้ำคาวปลา คราบน้ำมัน กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ รวมถึงแผลหลังคลอดที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ จึงต้องใส่ใจเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ

สะอาดทั้งตัว หัวจรดเท้า
        การดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของคุณแม่หลังคลอดก็เหมือนกับคนทั่วไป เพียงต้องเพิ่มควาใส่ใจเป็นสองเท่า ด้วยการอาบน้ำบ่อยๆ สระผม แปรงฟันให้สะอาด ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้นเสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค และสิ่งที่ต้องดูแลเป็นพิเศษก็คือ เรื่องของเหงื่อไคล และ กลิ่นไม่ถึงประสงค์ ซึ่งจะมีมากกว่าตอนที่ไม่ตั้งท้อง ฉะนั้นตามข้อพับ จุดอับต่างๆ เช่น รักแร้ แขนพับ ขาพับ หรือ ขาหนีบ ต้องคอยหมั่นสำรวจไม่ให้เกิดความอับชื้น ที่อาจกลายเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียได้
        นอกจากนี้ควรจะสวมใส่เสื้อผ้าสะอาด ไม่อับชื้น เมื่อพบว่าเสื้อผ้าเกิดความสกปรก ไม่ว่าจากคราบน้ำนม น้ำคาวปลา หรือ ของเสียต่างๆ ควรเปลี่ยนทันที เพราะเสื้อผ้าสกปรก แฉะชื้น เป็นที่ชื่นชอบของเชื้อโรค

เรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ
        อาบน้ำเรียกความสดชื่น คุณแม่จะช่วยเหลือตัวเองได้ภายหลังจากคลอดเสร็จประมาณ 12-24 ชั่วโมง ซึ่งสามารถอาบน้ำชำระล้างร่ายกายรวมถึงสระผมให้สะอาดได้ทันทีโดยไม่มีอันตราย ช่วงสัปดาห์แรกๆ คุณแม่อาจต้องใส่ใจเรื่องการอาบน้ำเป็นพิเศษ โดยอาบบ่อยกว่าปกติ เพราะคุณแม่จะมีเหงื่อออกมากเหนียวเหนอะหนะ นอกจากไม่สบายกายแล้วยังทำให้ไม่สบายใจไปด้วย ซึ่งหลักคลอดมีโอกาสที่คุณแม่เกิดภาวะซึมเศร้าเครียดได้ง่าย จึงต้องทำตัวเองให้สดชื่นตลอดเวลาด้วยการอาบน้ำที่สามารถเรียกความสดชื่นกลับมาได้ทั้งกายและใจ
        ไม่ว่าจอาบน้ำเย็น หรือ น้ำอุ่น ควรใข้วิธีตักราด หรือ อาบจาฝักบัว ไม่ควรแช่ในอ่าง หรือ ถ้าแช่ก็ทำได้แต่ไม่ให้นาพอขึ้นจากอ่างคุณแม่ต้องใช้ผักบัวรดหรือใช้ขันตักน้ำสะอาดราดตัวอีกครั้ง เพราะการอาบน้ำแบบแช่ อาจทำให้เชื้อโรคเข้าสู่แผลและช่องคลอดได้ แถมยังมีน้ำคาวปลาที่จะไหลมาปะปนกับน้ำในอ่าง แทนที่จะช่วยให้สะอาดก็จเป็นการเพิ่มความสกปรกได้
        สำหรับคุณแม่ที่ผ่าท้องคลอด เนื่องจากมีแผลหน้าท้อง จึงต้องระวังไม่ให้แผลโดนน้ำในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอด อาจใช้การเช็ดตัวแทนการอาบน้ำไปก่อน พอแผลเริ่มแห้งจึงอาบน้ำแต่ต้องมีพลาสติกหรือผ้ายางปิดกันไว้บ้าง ส่วนคุณแม่หมดปิดแผลด้วยพลาสติกหรือฟิลมป้องกันน้ำ สามารถอาบน้ำในช่วงแรกๆหลังคลอดได้ เพียงแต่ต้องระวังอย่าให้มีน้ำเล็ดลอดเข้าไปในได้แผลได้ ส่วนเรื่องสระผมควรมีคนช่วย หรือเข้านใช้บริการช่างทำผลเพื่อความสะดวก

สะอาด.... ได้มากกว่าความสะอาด
        เมื่อร่างกายได้รับการดูแลจนสะอาดสะอ้านแล้ว จะเป็นผลดีตอการฟื้นฟูสุขภาพ โดยไม่ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ ทั้งทางแผลหลังคลอดและช่องคลอด ไม่เพียงเท่านั้น สุขภาพจิตของคุณแม่ก็พลอยดี สดชื่น แจ่มใส่ไปด้วย ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดก็น้อยลง ความหงุดหงิด ความเครียดก็เบาบางลงเช่นกัน
        นอกจากนี้ผลพลอยได้ที่สำคัญคือเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียต่างๆจากร่างกายของคุณแม่ ไม่มีสิทธิ์ที่จะแพร่กระจายไปยังลูกน้อยได้ เพราะถูกกำจัดไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยการทำความสะอาดนั่นเอง

มารู้จัก แกงกลิโอไซด์ กันเถอะ

มารู้จัก แกงกลิโอไซด์ กันเถอะ

        ในประเทศญี่ปุ่นอยางที่ทราบกันคนญี่ปุ่นเป็นคนที่อนามัยจัดมาก และจริงๆแล้วมีงานวิจัยในญี่ปุ่นเยอะแยะที่ไม่ได้ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่ได้เอานมแม่มาตรวจทำการวิจัย และพบว่าสารอาหารกลุ่มหนึ่งที่มีชื่อว่า "แกงกลิโอไซด์" ซึ่งเป็นสารอาหารกลุ่มหนึ่งที่ไม่ใช่โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ วิตามิน ไม่ใช่ทั้ง 5 กลุ่ม มันเป็นสารที่มีอยู่นมแม่เท่านั้น โดย "แกงกลิโอไซด์" จะทำงานหลักๆอยู่ 3 อย่าง

1. เป็นใยอาหารที่คล้ายผัก แต่มีโมเลกุลที่เล็กมากละลายในนมแม่ได้ ลอยอยู่ในลำไส้ คอยดักจับพวกไวรัสและสารพิษแบคทีเรียทั้งหลาย ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้เด็กติดเชื้อ

2. สารส่วนหนึ่งที่มีชื่อว่า "ไซอะลิค แอซิด" ซึ่งอยู่ใน "แกงกลิโอไซด์" จะช่วยสร้างเนื้อสมองของเด็ก เพราะพบสารนี้ในสมองเด็กเป็นจำนวนมาก


3. เป็นอาหารของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อลำไส้เมื่อนำอุจาระของเด็กที่ทานนมแม่ จะพบแบคทีเรียที่เป็นมิตร เช่น แลคโตบาซิลลัส ไบฟิดัส ซึ่ง "แกงกลิโอไซด์" จะเป็นสารอาหารของแบคทีเรียกลุ่มนี้ ทำใหมันเจริญเติบโตได้ดี ขณะเดียวกันแบคทีเรียที่ไม่เป็นมิตร หรือ แบคทีเรียร้ายจะไม่ชอบอาหารอย่าง "แกงกลิโอไซด์" มันจึงไม่ค่อยเจริญเติบโต เหมือนเราสร้างกองทัพมิตคอยต่อต้านไม่ให้ศัตรูเจริญเติบโต



*---------------------------------------------------------------------------------------------------------*
"และนี่จึงเท่ากับว่า "แกงกลิโอไซด์" ช่วยทำให้พัฒนาการทางสมองของเด็กปกติดี ใกล้เคียงเด็กที่ทานนมมารดามากขึ้น และมีภูมิคุ้มกันหลังคลอดป้องกันไม่ให้เด็กป่วยบ่อย"
*---------------------------------------------------------------------------------------------------------*

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554

พักบ้างนะ(ว่าที่)คุณแม่สาวทำงานทั้งหลาย

ยุคที่ผู้หญิงเราเป็นสาวแกร่งคนเก่ง แต่พอรู้ตัวว่ากำลังจะเป็นคุณแม่ สาวทำงานหลายคนก็เกิดกังวลขึ้นมานิดๆ เอแล้วเราจะดูแลตัวเองพร้อมกับทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ไหม
          เรามีเทคนิคการดูแลตัวเองในที่ทำงานและแบบได้ผลมาฝาก
·         หยุดพักบ่อยขึ้น
หยุดพัก 15 นาทีทุกๆ 2-3 ชั่วโมง แต่ถ้ากลัวเจ้านายจะเขม่น คุณอาจต่อรองว่า จากที่เคยกลับเข่าที่ทำงานตอนบ่ายโมงตรง คุณอาจเปลี่ยนมาประจำที่โต๊ะตอน 12:45 และขอเก็บเวลาที่เหลืออีก 15 นาทีเอาไว้หยุดพักสั้นๆช่วงบ่ายสามโมงอีกครั้ง

·         เวลาพัก ต้อง พัก
รู้น่าว่าแม่ท้องก็อยากสังสรรค์ แต่อย่าเมาท์เพลินจนลืมเผื่อเวลาให้ตัวหลับตาสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆสัก 5 นาที
·         ตุนเสบียงไว้ที่โต๊ะทำงาน
แม่ท้องไม่ควรปล่อยให้ตัวเองหิวจนไส้กิ่วหาของว่างเบาๆที่เก็บง่าย เช่น เครกเกอร์ห่อเล็กๆติดไว้ที่โต๊ะ การรับประทานของว่างยังช่วยลดอาการคลื่นไส้ช่วงไตรมาสแรกๆได้
·         ดื่มน้ำบ่อยๆ
มีแก้วน้ำหรือขวดน้ำอยู่ใกล้ตัวเองตลอดเวลา พยายามจิบน้ำอย่างน้อย 4 แก้วต่อเวลาทำงาน 8 ชั่วโมง ที่สำคัญคือ ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยไม่กลั้นปัสสาวะ
·         อย่ารากงอดติดอยู่กับโต๊ะ
การลุกขึ้นเดินไปมาช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ลดอาการบวมและป้องกันเส้นเลือดขอด
·         ถ้าคุณทำงานที่ต้องยืนอยู่ตลอดทั้งวัน
ต้องพยายามหาเวลานั่งพัก แล้วยกขาสูงขึ้นทุกๆ 1 ชั่วโมง

Mom Tip!
ตอนท้องจะแช่เท้าในน้ำอุ่นทุกวัน ช่วยเรื่องปวดเมื่อยและปรับสมดุลร่างกายไม่ให้เป็นไข้ (ช่วงตั้งครรภ์เราไม่เป็นหวัดเลย) ถ้าเจ็บคอหรือไอ จะกลั้วคอด้วยน้ำอุ่นผสมเกลือ หายระคายคอเลย

Safe Sex in Whole 9 Months รักระหว่างตั้งครรภ์อย่างไร

Safe Sex in Whole 9 Months รักระหว่างตั้งครรภ์อย่างไร
สุขใจ + ปลอดภัยที่สุด


ไตรมาส 1 : ถ้าเสี่ง ต้องงดก่อน
ช่วงไตรมาสแรก ถ้าคุณแม่มีความเสี่ยง เช่น มีประวัติการแท้ง คลอดก่อนกำหนด หรือแท้งคุกคาม จำเป็นต้องงดมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดไว้ก่อน เพราะอาจเกิดอันตราย ทำให้เลือดออกทางช่องคลอดจนแท้งได้
การช่วยตัวเอง (Masturbation) ทั้งแบบที่คุณชายเป็นฝ่ายกระทำและแบบที่คุณผู้หญิงเป็นฝ่ายกระทำสามารถทำได้  การช่วยตัวเองไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นการระบายความต้องการอย่างปลอดภัยทั้งสองฝ่าย
ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ควรเปิดใจคุยกันว่าแต่ละคนรู้สึกอย่างไร หากไม่เข้าใจหรือไม่กล้าเปิดอกคุยกันอาจเป็นสาเหตุให้คุณผู้ชายไปกุ๊กกิ๊กนอกบ้านได้ ซ้ำร้ายถ้าคุณผู้ชายไม่ใส่ถุงยางอนามัยป้องกันอาจติดโรคทางเพศสัมพันธ์และนำโรคมาสู่คุณแม่ตั้งแต่โรคเริม หนองใน และน่ากลัวที่สุดคือ โรดเอดส์
ไตรมาส 2: ท่าร่วมรักก็สำคัญ
          หลังจากตรวจว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ว่าที่คุณพ่อคุณแม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดได้ ไม่เกิดอันตรายต่อการเจริญเติบโตของทารก
          ท่วงท่าในการมีเพศสัมพันธ์ ควรหลีกเหลี่ยงท่าที่ผู้ชายอยู่ด้านบน เพราะมดลูกจะถูกกระแทกแรงเกินไป
          ท่าที่ปลอดภัยที่สุดคือ ท่านอนตะแครงหรือถ้าท้องของคุณแม่ไม่ใหญ่เกินไปก็สามารถใช่ท่าที่ฝ่ายหญิงอยู่ด้านบน
ไตรมาสสุดท้าย: ใกล้คลอดแล้ว
          ช่วงไตรมาสสุดท้าย โดยเฉพาะในช่วง 34-36 สัปดาห์ คุณแม่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากมีเพศสัมพันธ์ เพราะเข้าสู่ช่วงใกล้คลอดร่างกายคุณแม่จะอุ้ยอ้าย มิหนำซ้ำยังเริ่มกังวลต่อการคลอดจนทำให้ไม่ค่อยมีอารมณ์ตอบสนอง
          กรณีนี้ หากทางฝ่ายชายมีอารมณ์ทางเพศอาจต้องใช้วิธีช่วยตัวเอง หรือทำรักด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่ทางช่องคลอดไปก่อน
          อย่าเพิ่งคิดว่าเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์เป็นเรื่องลำบาก ธรรมชาติได้มองข้อดีทดแทน นั่นคือ ช่วงตั้งครรภ์เส้นเลือดบริเวณช่องคลอดจะขยายตัวทำให้มีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น และทำให้คุณผู้หญิงเข้าสู่จุดสุดยอดได้ง่ายกว่าตอนไม่ตั้งครรภ์

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

ทำไม "ลูกไม่ยอมให้หอม" ละเนี่ย

ทำไม "ลูกไม่ยอมให้หอม" ละเนี่ย



        เห็นแก้มยุ้ยๆ ตัวกลมๆ คุณพ่อคุณแ่ม่คนไหนก็คงอดใจไม่ไหว ต้องหอมสักฟอด แต่เด็กบางคนกลับออกอาการ "ไม่ชอบสุดๆ" ถึงขั้นเบือนหน้าหนี
       
        เด็กเล็กส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการแสดงความรักจากพ่อแม่หรือคนใกล้ชิด  แต่ก็มีเด็กอีกหลายคนที่ไม่ชอบและรำคาญ นั่นเพราะพวกเขาเริ่มพัฒนาความเป็นตัวตนรวมถึงแสวงหาอำนาจในการควบคุม การ    ปฎิเสธไม่ให้ผู้ปกครอง โดยเฉพาะคุณแม่เข้ามากอดหรือหอม ก็เป็นขั้นตอนหนึ่งของการเรียกร้องอิสระ
       
        หากลูกมีท่่าทีปฏิเสธ แบบนี้ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรดุว่าหรือบังคับฝืนใจ เพราะจะทำให้เด็กยิ่งหนีห่างมากขึ้น การขอร้องหรือกดดัน เช่น "ไม่รักแม่เหรอของแม่หอมหน่อยนะ" ก็ไม่ก่อให้เกิดผลดี หนูๆอาจรู้สึกผิดและยอมให้คุณหอมเหมือนเดิม แต่ในใจของพวกเขาก็ไม่ได้ยินดีตามด้วย

       

 ทางออกที่เราแนะนำคือ.....
  • รอคอยอย่างใจเย็น ให้เวลาพวกหนูปรับตัวเสียหน่อย ใช่ว่าคุณจะต้องถอยห่างหรืองดเว้นการแสดงความรักต่อลูก เดียงแต่อาจปรับวิธีเข้าหาเป็นการสัมผัสแบบอื่น เช่น ลูบหัว โอบโหล่ จูงมือ
  • ถ้าคุณพ่อคุณแม่คนไหนอดใจไม่ไหว อยากจะหอมลูกสักหน่อย ลองชวนลูกมาวิ่งเล่นไล่จับ พอจับพ่อหนูแม่หนูได้แล้วก็กอดแน่นๆ แถมหอมให้อีกฟอดพอหายมันเขี้้ยว หนูๆก็จะเข้าใจว่าการหอมเป็นส่วนหนึ่งของ "เกม" และไม่อิดออดนัก
  • ถ้าบ้านไหนมีลูกหลายคน ขยับหอมลูกอื่นๆ (โดยเฉพาะน้องเล็ก) บ่อยๆเข้าพี่โตหวงตัวจะไม่อิจฉาก็ให้รู้ไป

ลูกชอบดูดนิ้ว เพราะอะไรนะ

        ในช่วงแรกๆ ของการก้าวออกจากวัยทารกที่อบอุ่นสู่วัยเตาะแตะเด็ๆ มักพบว่าวโลกใหม่นั้นโหดร้ายและแสนจะไม่คุ้นเคย ในกรณีนี้การมีเพื่อนจะช่วยพวกเขาได้ เพื่อที่ว่าไม่ว่าจะเป็นผ้าห่มผืนเก่า ตุ๊กตาเก่าๆหูขาด หรือ นิ้วโป้งเล็กๆของเขาเอง สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความมั่นคงที่เด็กๆต้องการทั้งสิ้น




        การดูดนิ้วคือสิ่งที่เด็กๆต้องการมากที่สุด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ต้องการสู้ยืนหยัด รวมถึงเมื่อรู้สึกสับสน ไม่สบายหรือเบื่อ และแม้ว่าเด็กส่วนใหญ่ จะเลิกกิิริยานี้ก่อนอายุครบ 1 ขวบ แต่เด็กบางคนก็ยังรู้สึกดี และยังคงพฤติกรรมนี้ต่อไป กล่าวคือในวัยเตาะแตะนี้ การดูดนิ้วเป็นเรื่องธรรมดา (ถ้าหากว่าเจ้าววตัวน้อยทำอย่างพอประมาณ) และไม่อันตราย ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรกับเขาเลย ยิ่งกดดันมากเท่าไหร่ ยิ่งมีแนวโน้มที่เด็กจะมีพฤติกรรมนั้นากขึ้นด้วยซ้ำ และถ้าคุณกังวลว่าจะไม่น่าดูในสายตาของคนอื่น คงต้องบอกว่าเดี๋ยวนี้คุณพ่อคุณแม่่วนใหญ่เข้าใจเรื่องการชอบดูดนิ้วของเด็กวัย 1-2 ขวบเป็นอย่างดี และ ความจริงแล้วสายตาของคนรอบข้างก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องวิตก แต่ควรเป็นทัศนคติของตัวคุณเองมากกว่า
       ย้ำอีกครั้งว่าอย่ากังวลไปเลยค่ะ อาการดูดนิ้วเป็นเรื่องธรรมดาของเด็ก และไม่ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของการงอกของฟันหรือเป็นอันตรายต่อปากเล็กๆของเขาแต่อย่างใด ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเชื่อว่าอาการดูดนิ้วไม่ใช่ปัญหาตราบใดที่เด็กๆไม่ได้ทำทุกวัน และ โดยปกติแล้ว อาการนี้จะหายไปเองเมื่อเด็กๆอายุ 4 ขวบ

Tip:
พัฒนการไหนที่คุณแม่ชอบมากที่สุด
เริ่มหัดพูดจนถึงพูดได้ 50%
เริ่มคลานจนถึงเดิน    38%
ถึงไม่อยากจะนึก แต่คิดถึงวันเก่าแล้วละ 12%

เทคนิคฝึก "แปรงฟัง" ให้ได้ผล

        จะฝึกลูกวัยก่อนเรียนให้แปรงฟังไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ดูธรรมชาติการพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงปีและปรับวิธีฝึกให้เข้ากัน


3 ขวบ

        ลูกควรเริ่มใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ ได้แล้วแต่ไช้ในปริมาณน้อยๆ ประมาณเมล็ดถั่วเขียวก็พอแล้ว เด็กวัยนี้ยังแปรงฟันเองไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่คงต้องช่วยแปรงฟันให้หนูๆไปก่อน โดยค่อยๆแปรงเบาๆให้ทั่วถ้าจะให้ดีควรแปรงลิ้นด้วย เพื่อลดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกลิ่นปาก
        ถ้าอยากให้ลูกฝึกแปรงฟัน คุณอาจให้เขาลองแปรงฟันโดยไม่ใช้ยาสีฟัน หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ช่วยแปรงฟันให้เสร็จแล้วก็ได้ 

4 ขวบ

        คุณพ่อคุณแ่ม่ควรแปรงฟันไปพร้อมกับลูก แล้วช่วยกันตรวจสอบดูว่าทุกคนแปรงฟันสะอาดดีหรือยัง ถ้าลูกยังแปรงไม่ทั่วถึงก็ให้ลูกดูกระจกแล้วชี้จุดไหนที่เขาไม่ได้แปรง หลังจากนั้นจึงให้ลูกแปรงจุดนั้นอีกครั้ง ถ้าไ่ม่แน่ใจว่าสะอาดดีหรือยัง อาจใช้น้ำยาบ้วนปากสำหรับเด็กก็ได้

5 ขวบ
        ตอนนี้ลูกพร้อมจะแปรงฟันเองได้แล้ว แตถ้าพ่อหนูแม่หนูอิดออดทุกครัั้งที่ได้เวลาแปรงฟัน คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องใช้เทคนิคล่อใจ เช่น เลือกแปรงสีฟันและยาสีฟันลายการ์ตูนที่ลูกชอบ ดึงดูดให้เด็ๆอยากแปรงฟัน หรือลองใช้เทคนิคของคุณแม่รายหนึ่งที่ซื้อแปรงสีฟันให้ลูกทีเดียว 3-4 อัน อันละสีเวลาจะแปรงฟันก็เลือกว่าวันนี้จะใช้แปรงสีอะไรได้ตามใจ

Tip: ผลสำรวจล่าสุุดบอกว่า

80% ของพ่อแม่ยอมรับว่า เคยโกหกลูกตัวเองอย่า่งน้อยหนึ่งครั้ง (่ส่วนเราว่าอีก "20%" ที่เหลือก็แค่ยังไม่อยากยอมรับเท่านั้นละมั้ง :P )

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

สร้างสมองลูกให้เฉลียวฉลาดด้านภาษา ตอนที่ 2

Parenting Skill Box (ขอสรุปสิ่งที่พ่อแม่ควรทำจากตอนที่ 1)
  • พ่อแม่ควรสนับสนุนให้ลูกกล้าแสดงออก เชื่อมั่นในตัวเองเสริมประสบการณ์ด้านภาษาเริ่มการอ่านนิทานให้ฟัง หมั่นอธิบายความหมายของศัพท์ต่างๆฟัง
  • สนับสนุนนิสัยรักการอ่านไม่ว่าเขาจะชอบหนังสือแบบไหนถ้าจะสอนภาษาที่สองหรือสามต้องสอนตั่งแต่ยังเด็กๆ
  • ไม่ควรบังคับลูก ต้องทำให้เด็กมีความสุข สนุกสนานในทุกกิจกรรมที่ส่งเสริมเขา
  • ต้องมีความสม่ำเสมอ ทำให้เป็นชีวิตประจำวัน ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง จะหวังจากทางโรงเรียนนั้นคงไม่พอ

แบบสำรวจแววด้านความฉลาดทางด้านภาษา

1. พูดได้เร็วกว่าเด็กวัยเดียวกัน
2. สนใจอ่านทุกอย่างที่ผ่านพบ เช่น ป้ายโฆษณา ถุงใส่กล้วยแขก เป็นต้น
3. ชอบเล่นนิทาน
4. พูดหรือเขียนได้ดี รู้จักใช้คำเหมาะสม ใช้ภาษาได้สละสลวย
5. เข้าใจเรื่องที่อ่านหรือฟังได้อย่างรวดเร็วและแจ่มแจ้ง
6. สามารถเรียนรู้ภาษาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
7. สนใจและชอบศึกษาที่มาของคำศัพท์ต่างๆ
8. ชอบเล่นเกมปริศนาอักษรไขว้ เป็นต้น
9. ใช้ภาษาที่ลุ่มลึกและก้าวเกินวัย ชอบกิจกรรมด้านภาษา เช่น อภิปราย โต้วาที
10. มีความสนใจจะเขียนหนังสือ ชื่อ และคำต่างๆก่อนเด็กวัยเดียวกัน
11. สามารถจดจำและใช้คำใหม่ๆได้อย่างรวดเร็ว
12. ชอบอ่านหนังสือที่มีตัวหนังสือมากกว่าที่มีแต่รูปภาพ
13. ชอบจดบันทึก
14. ชอบมีหนังสือพกติดตัว
15. เข้าร่วมกิจกรรมทางด้านภาษาทุกครั้งที่มีโอกาศ


        หากสำรวจพบคุณสมบัติเหล่านี้ตั้งแต่ 11 ข้อขึ้นไปแสดงว่าเด็กคนนี้มีความฉลาดด้านภาษา

สร้างสมองลูกให้เฉลียวฉลาดด้านภาษา ตอนที่ 1

      ตามที่เราเคยทราบกันมา ทฤษฏีเชาวน์ปัญญาแบบเดิมเน้นแต่เชิงภาษ คณิตศาสตร์ และความคิดเชิงตรรกะ สังเกตได้จากแบบทดสอบด้านไอคิวซึ่งจะตอกย้ำสามด้านนี้เช่นกัน ขณะที่ในทางการแพทย์ก็เน้นเพิ่มอีก 4 ด้านคือ ร่างกาย ภาษา การเรียนรู้ และ สังคม
        จนกระทั่งปี ค.ศ. 1983 โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้เสนอนิยามเชาวน์ปัญญา หรือ อัจฉริยภาพใหม่เป็น 8 ด้าน กลายเป็นที่มาของทฤษฎีพหุปัญญา (Mulitple Intelligent of Howard Gardner) ซึ่งประกอบด้วย หนึ่ง ด้านภาษา (Linguistic) สอง ด้านตรรกะ และ ด้านคณิตศาสตร์ (Logical - Mathematical) สาม ด้านดนตรี (Musical) สี่ ด้านร่างกายและความเคลื่อนไหว (Bodily- Kinesthetic) ห้า มิติสัมผัส (Spatial-Visual) หก ด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Interpersonal) เจ็ด ด้านความเข้าใจตนเอง (Intra personal) และ แปด ด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalistic) ในบทความนี้จะนำเสนอในส่วนความฉลาดทางด้านภาษา

        ความฉลาดด้านภาษาเป็นความสามารถในการเลือกใช้ถ้อยคำที่แสดงออกในการสื่อความหมาย ควบคุมการเรียบเรียงประโยคออกมาเป็นประโยคที่สื่อความหมายตามหลักภาษา จึงมีความสำคัญต่อการเรียนรู้และการศึกษาของเด็กเป็นอย่างมาก เพราะหากพัฒนาการด้านนี้มีความบกพร่องหรือช้ากว่าคนอื่น โอกาสทางการเรียนรู้รวมถึงการศึกษาก็จะกระทบมาก
       ลักษณะสำคัญของบุคคลที่มีความฉลาดด้านภาษา เช่น สื่อสารกับคนอื่นโดยใช้ภาษาได้อย่างดี มีนิสัยรักการอ่าน มีความสามารถเรียนรู้ภาษาอื่นได้ดีและรวดเร็ว ชอบโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เป็นต้น เราจะพบคนเหล่านี้ เช่น กวี นักเขียน นักพูด นักการเมือง คนเล่านิทาน เป็นต้น

การพัฒนาทักษะทางภาษา

        บางครั้งเด็กยังไม่อาจะแสดงแววทางภาษาที่ชัดเจนอาจมีมาจากหลายสาเหตุ เช่น ความพร้อมทางร่างกายบุคลิกภาพส่วนตัวที่ไม่ชอบพูด ไม่ชอบแสดงออก ดังนั้นพ่อแม่ควรมีส่วนร่วมสนับสนุนให้เด็กมีความกล้าแสดงออก ดังนั้นพ่อแม่ควรมีส่วนร่วมสนับสนุนให้เด็กมีความกล้าแสดงออกมีความเชื่อมั่นตัวเอง พร้อมเสริมประสบการณ์ด้านภาษา เช่น เริ่มอ่านนิทานให้ฟัง เล่นเกมส์ภาษา ปริศนาคำทาย หมั่นอธิบายความหมายสิ่งต่างๆ สอนคำศัพท์ภาษาต่างๆ เล่นเกมสะกดคำทั้งภาษาไทย อังกฤษ จีน เป็นต้น
        ช่วยหาหลักสะกดคำยากให้ง่ายขึ้น ตัวอย่าง endangered ควรแบ่งเป็น 2-3 อักษร เช่น en-dan-ger-ed เด็กจะจำได้ง่ายและสะกดได้ถูกต้อง สนุกกับการจำศัพท์ยากๆ สนับสนุนนิสัยรักการอ่าน ไม่ว่าเขาจะชอบอ่านหนังสือแบบไหน ที่สำคัญ ถ้าจะสอนภาษาที่สองหรือสามก็ต้องสอนกันตั้งแต่ยังเล็กๆ จะได้เป็นธรรมชาติจำได้ง่ายกว่า รอพ้นวัย 3-4 ขวบจะช้าเกินไปครับ อาจใช้บัตรคำที่ด้านหนึ่งมีรูปภาพ อีกด้านหนึ่งเป็นตัวอักษรทั้งภาษาอังกฤษและจีน เช่น น้ำ ก็มีรูปน้ำในแก้วหรือ น้ำตก มีความว่า water และ shui (สุ่ย) ซึ่งมีทั้งอังฤษและจีน เป็นต้น
         แต่อย่าลืมนะครับว่าเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันแต่ละคนล้วนมีความเป็นปัจเจก มีความารถเฉพาะตนพ่อแม่ไม่ควรบังคับ ต้องทำให้เด็กมีความต้องการเองมีความสุข สนุกสนานในทุกกิจกรรมที่เราร่วมส่งเสริมเขา พ่อแม่มีหน้าที่สังเกตความถนัด ความสนใจ ต้องกระตุ้นให้สอดคล้องกับธรรมชาติของเด็ก
        ที่สำคัญสุดก็คือ ต้องมีความสม่ำเสมอ ทำทุกวันเป็นชีวิตประจำวัน ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ทำอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด จะอาศัยหรือหวังจากทางโรงเรียนนั้นไม่พอ เช่น ถ้าจะให้ลูกเรียนหรือพูด 2-3 ภาษา พ่อแม่ก็ต้องพูดภาษานั้นๆกับเขาที่บ้านทุกวัน กระตุ้นให้เด็กได้แสดงออกเป็นนักเล่าเรื่อง ลูกไปเรียนมีอะไรบ้าง ส่งเสริมการเขียนบันทึกประจำวัน และเข้าร่วมกิจกรรมทางภาษาเมื่อมีโอกาศ

4 เทคนิคการจัดการ “ลูก&งาน” ให้ลงตัว

        ถ้าคุณแม่คนไหนทำงานที่บ้านคงมีเรื่องต้องรับผิดชอบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านสุดน่าเบื่อ เจ้าพวกลูกๆจอมซนที่ขยับทำเลอะ แถมยังต้องปั่นงานส่งตามกำหนดอีกเฮ้อไม่ใช่เรื่องสนุกเลย
        อย่างเพิ่งโอดโอยไป…… เรามีเทคนิคง่ายๆ ของเวิร์คกิ้งมันมือโปรมาบอก









Tip: ถ้าต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์ทั้งวัน…..ควรพักสายตาจากหน้าจอทุกๆ 10 นาทีด้วยการมองไปที่ไหนก็ได้ หรือลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสายนอกจากจะช่วยให้คุณไม่ปวดศรีษะแล้ว ยังคลายความเมื่อยล้าของดวงตาได้อีกด้วย



1.    ใช้เวลาว่างเล็กๆน้อยๆให้มีค่า
เก็บของเล่นที่เกลื่อนกลางรกบ้านของลูกไปพลางระหว่างรอน้ำเดือนชงกาแฟ ขณะที่เครื่องซักผ้ากำลังปั่นอยู่ก็จัดการพับผ้าที่ค้างไว้ พร้อมดิวงานสำคัญทางโทรศัพท์ไปด้วยหรือหลังจากเปิดคอมพิวเตอร์รอเครื่งทำงานไปล้างจานเสียหน่อย
2.    ใช้ของเล่นเป็นเครื่องมือ
คุณแม่บางคนอยากให้ลูกอยู่ในห้องทำงานด้วย เพราะกลัวเจ้าจอมยุ่งจะไปซนทื่อื่น แต่ก็ไม่อยากให้ลูกกวนใจเวลาทำงานเทคนิคที่เราแนะนำ คือ หาของเล่นที่ทำให้ลูกมีสมาธิจดจ่อ เช่น ตัวต่อหรือสุดภาพสีสวยที่สามารถดึงดูดความสนใจได้เป็นเวลานานนอกจากคุณจะได้งานอย่างเต็มที่แล้ว ลูกสุดที่รักยังอยู่ในสายตาของคุณด้วย (อ้อ! แต่ของเล่นชิ้นนั้นต้องไม่มีเสียงดังรบกวนนะ)
3.    ยกลูกให้คนอื่น (ชั่วคราว)
คุณแม่ที่ทำงานพาร์ตไทม์อาจมีงบไม่พอจ้างพี่เลี้ยง แล้วคุณก็คงต้องการเวลาส่วนตัวสักนิด ไม่ยาก หาคนร่วมอดุมการณ์เดียวกันอาจเป็นเพื่อนสนิท พี่น้อง หรือ ญาติที่เป็นคุณแม่มาช่วยดูแล แล้ววันต่อไปคุณผลัดเวรรับลูกของเธอมาดูแลบ้าง วิธีนี้จะทำให้คุณมีเวลาส่วนตัว และ ลูกยังมีโอกาสได้เล่นกับคนอื่นอย่างปลอดภัย แลถ้าหากไม่อยากไว้ใจใคร คุณย่าคุณยายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
4.    ลงทุนเพื่อผลประโยชน์คุ้มค่า
คุณแม่ที่ไม่อยากจ้างพี่เลี้ยง ไม่อยากเสียงาน และ อยากจะมีเวลาพักผ่อน ลองสมัครเป็นสมาชิกตามสถานออกกำลังกายสปา หรือ คอร์สเรียนต่างที่มีห้องสำหรับให้เด็กๆเล่นรอคุณพ่อคุณแม่พร้อมพี่เลี้ยงคอยดูแล ส่วนใหญ่บริการเหล่านี้จะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ก็คุ้มค่าเงิน เพราะนอกจากคุณจะได้ออกกำลังกายโดยไม่ต้องห่วงลูกแล้ว พวกเด็กๆยังได้เล่นกับเพื่อนใหม่ แถมได้เปลี่ยนบรรยากาศไปในตัว

Work@Home
·         เริ่มงานอย่างสดชื่น กระปรีกระเปร่า
·         ใส่ความกระตือรือร้นเต็มที่
·         หมั่นบันทึกเพื่อกันลืม
·         แบ่งงานเป็นส่วนๆ แล้วลำดับความสำคัญของงาน
·         กำหนดเวลาพักผ่อนอย่างชัดเจน

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

ตอบ 4 คำถามคาใจช่วยแม่เลือก "นมผสม"

       ปัจจุบันมีนมผสมหลากหลายสูตรและรูปแบบให้คุณแม่เลือกตั้งแต่ผสมแบบชงเอง มีทั้งสูตรมาตราฐานจนถึงสูตรเพิ่มสารอาหารพิเศษมากขึ้นๆ หรือ นมผสมแบบกล่องพร้อมดื่ม มีทั้ง         ยูเอชที พาสเจอร์ไรซ์ สเตอริไลซ์ หรือ นมผสมชงสำเร็จที่เรียกว่า premixed
     มีมากขนาดนี้จะไม่ใหคุณแม่มือใหม่สับสนได้อย่างไร คำถามในใจคุณแม่เกี่ยวกับเรื่องการเลือกนมผสมมีคำตอบ ดังนี้
     ทารกแรกเกิด เป็นแนวทางช่วยตัดสินใจให้คุณแม่มือเก๋าและมือใหม่เลือกซื้อนมผสมอย่างมั่นใจขึ้น


1. คุณค่าอาหารหรือสารอาหารในนมผสมมาตราฐานกับนมผสมสูตรเพิ่มสารพิเศษ แตกต่างกันมากไหมกับนมสูตรมาตราฐานเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ลูกจะขาดสารอาหารหรือไม่
        ปกติแล้วนมทุกสูตรที่ขายในบ้านเราจะต้องได้รับการตรวจสอบคุณภาพและสารอาหารต่างๆ เพื่อให้เหมาะสมสำหรับใช้เลี้ยงเด็กทารกจากองค์การอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขก่อนที่จะวางขาย คุณแม่จึงมั่นใจได้ว่า นมทุกสูตรนั้นให้สารอาหารได้ตามที่ลูกน้อยต้องการ และยิ่งลูกของคุณได้รับนมอย่างเพียงพอควบคู่ไปกับนมผสมด้วย ก็ยิ่งมั่นใจได้ว่าลูกน้อยจะได้สารอาหารครบถ้วนตามความต้องการอย่างแน่นอน

2. นมสูตรเพิ่มสารรอาหารพิเศษนั้นมีมากมายเหลือเกิน จะเลือกแบบไหนให้ลูกดี
        การแข่งขันทางการตลาดของนมสูตรเพิ่มสารอาหารพิเศษมีมากเชื่อว่าคุณแม่มือใหม่หลายท่านอ่านส่วนผสมข้างกล่องนมแล้วคงสับสนหรือเลือกไม่ถูก มีคำแนะนำดังนี้ การเลือกนมสูตรพิเศษให้แก่ลูกน้อยนั้น คุณแม่ควรจะปรึกษาคุณหมดประจำตัวลูกเสียก่อน เนื่องจากเด็กทารกคนอาจต้องกินนมเฉพาะแบบเพื่อให้เหมาะกับความต้องการของร่างกาย
        สำหรับตลาดบ้านเรา สารอาหารที่นิยมเพิ่มลงไปในนมสำหรับเด็กและทารกนั้นคือ ดีเอสเอ (DHA) และ เออาร์เอ (ARA) เป็นสารอาหารสำคัญที่พบในน้ำนมแม่ ซึ่งมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองตา และ ระบบประสาท
        อย่างไรก็ตาม อาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกคือน้ำนมแม่ เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกอย่างครบถ้วน ดังนั้นถ้าลูกน้อยของคุณได้รับนมแม่อย่างเพียงพอ นมสูตรเพิ่มสารอาหารพิเศษนั้นก็อาจจะไม่ใช่เรื่องจำเป็น
        "นมแมเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำรับลูกน้อย ควรให้ลูกได้กินนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน"
3. นมผสมแบบกล่อยูเอชที พาสเจอร์ไรซ์ และ สเตอริไลซ์ มีคุณค่าทางโภชนาการเท่ากับนมผสมแบบชงเองหรือไม่ใช้แทนกันได้ไหม
        นมผสมแบบกล่องพร้อมดื่มนี้เป็นนมที่มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบมากกว่านมผสมชงเอง ขณะที่นมผสมชงเองจะมีไขมันส่วนประกอบมากกว่านมผสมแบบกล่องด้วย จึงยังไม่เหมาะที่จะใช้เลี้ยงเด็กแรกเกิด - 1 ปี เนื่องจากระบบย่อยอาหารของเด็กเล็กยังไม่สามารถย่อยโปรตีนได้ดีนัก
        ดังนั้นถ้าจะเลือกใช้นมผสมแบบกล่องพร้อมดื่มนี้ ควรเลือกให้ลูกกินเมื่ออายุ 1 ปีขึ้นไป
4. นม Premixed คือนมอะไร ต่างจากนมผสมหรือไม่ เห็นมีในซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งราคาค่อนข้างสูง
        นม premixed คือ นมผสมนั่นเอง ต่างกันตรงที่คุณค่าโภชนาการเหมือนกับนมผสมสูตรทั่วไปที่ชงเอง (ในกรณีที่เป็นนมสูตรเดียวกันและผสมในอัตราส่วนที่ถูกต้อง) แต่นมประเภทนี้จำเป็นจะต้องเก็บในอุณหภูมิค่อนข้างต่ำ (ประมาณ 10 องศาเซลเซียส) และ มีอายุในการเก็บสั้นกว่าแบบนมผง คือเก็บได้ประมาณ 1 ปีนับจากวันผลิต และ มีราคาสูงเนื่องจากนำเข้าจากต่างประเทศ

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

สยบอาการงอแง... เมื่อลูกน้อยต้องแยกจากพ่อแม่

สยบอาการงอแง... เมื่อลูกน้อยต้องแยกจากพ่อแม่




วัยทารก: เริ่มยกที่หนึ่ง
       โดยปกติ ความกังวลว่าจะต้องแยกจากพ่อแม่จะเกิดขึ้นเมื่อลูกอายุได้ราว 8 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นอีกคนหนึ่งไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแม่ หรือพ่อ อีกต่อไป
       ลูกอาจจะรับรูว่า มีบางเวลาที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่กับเขา ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจหรอกว่าถึงอย่างไรก็ต้องกลับมาหาเขาอยู่ดี
       ความกังวลนี้อาจจะอยู่กับลูกไปอีกหลายสัปดาห์ หรืออาจจะลากยาวไป 2-3 เดือน กว่าจะแน่ใจว่าคุณไม่ได้ทิ้งเขาไปไหน


รับมืออย่างไร
  • เตรียมพร้อมแต่เนิ่นๆ พอเจ้าตัวเล็กอายุ 6 เดืนให้เริ่มทำความคุ้นเคยกับคนอื่นๆ ที่มาคอยช่วยแม่ดูแลเขา เช่น ญาติ
  • อย่าอ้อยอิ่งขณะบอกลา "แม่ไปแล้วนะจ๊ะ เจอกันตอนบ่ายนะลูก" รีบลาแล้วจงรีบไป เพราะยิ่งทิ้งช่วงนาน ลูกจะยิ่งรู้สึกว่ากำลังจะมีเรื่องน่ากังวลเกิดขึ้น
  • สร้างความมั่นใจด้วยภาษาท่าทาง ก่อนจะออกไปข้างนอก ให้ส่งยิ้มและโบกมือให้ลูก ทำท่าร่าเริงเข้าไว้ ลูกจะแปลความหมายได้ว่าแม่สบายใจที่จะให้เขาอยู่กับคนคนนี้
  • อย่าหนี้ไปเงียบๆ การฉวยโอกาสย่องออกจากบ้านไปตอนลูกเผลอเท่ากับเป็นการหลอกลวงเขา และ นั่นก็จะบั่นทอนความไว้ใจที่เขามีต่อคุณด้วย ทางที่ดีให้พี่เลี้ยงรีบมาดึงความสนใจจากลูกในทันทีที่คุณก้าวขาออกไปจะดีกว่า อาจจะใช้ของเล่นชิ้นโปรดเกมจ๊ะเอ๋
วัยเตาะแต:ช่วงชุลมุน
     เมื่อเข้าสู่วัยเตาะแตะ เด็กบางคนอาจจะเลิกเครียดหรือเลิกกังวลเมื่อต้องแยกาจากพ่อแม่ แต่สำหรับบางคนความรู้สึกดังกล่าวอาจจะเพิ่งปรากฎ และจะมีอาการมากๆในช่วงอายุ 1-2 ขวบ
      เด็กวัยนี้จะติดพ่อแม่มาก เขาอาจมีอารมณ์ฉุนเฉียว กรีดร้อง หรือ ตีโพยตีพายให้เห็น ในระหว่างที่คุณทำท่าจะไปจากเขา
      นอกจากนี้เด็กวัยเตาะแตะยังเริ่มอยากจะควบคุมอะไรบางอย่างให้เป็นดั่งใจปราถนา อย่างช่วงนี้หนูน้อยรู้แล้วละว่า ไม่ว่าจะไปไหน สุดท้ายคุณจะกลับมาให้เขาเห็นอีก แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังอยากให้คุณอยู่ใกล้ๆตลอดเวลาอยู่ดี ยิ่งรู้แกวว่าร้องไห้คร่ำคราญเมื่อไร พ่อกับแม่ต้องใจอ่อนทุกที

รับมืออย่างไร
  • ส่งสัญญาณการล่ำลา เช่นหอมแก้มเขาทั้งซ้ายแลขาวทุกครั้งที่จะออกจากบ้าน
  • มอบหมายงาน เชนก่อนออกไปทำงานให้บอกเขาว่า เดี๋ยวหนูปิดประตูให้แม่ด้วยนะจ๊ะ ความรับผิดชอบเล็กๆน้อยๆ ช่วยให้เจ้าตัวเล็กปรับตัวได้อย่างง่ายขึ้น
  • บอกเวลากลับคร่าวๆ อย่าเผลอพูดเป็นจำนวนชั่วโมงเพราะเด็กวัยนั้ไม่ใคร่จะเข้าใจนักหรอก บอกเขาว่าคุณจะกลับมา "หลังอาหารว่าง" จะเข้าท่ากว่า
  • ย้ำว่าคุณจะกลับมาหาเขาแน่นอน เมื่อเจ้าตัวเล็กโวยวาย "ไม่เอา หนูไม่ให้แม่ไป" ก็ให้ถามเขากลับว่า "ทุกครั้งแม่ออกไปข้างนอก แม่จะทำยังไงนะ" จากนั้นก็ให้ตอบเองว่า "แม่จะกลับมาหาหนู"

วัยก่อนเข้าเรียน:อาการกำเริบ
ช่วงนี้คุณอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยในการรับมือกับความกังวลของเจ้าตัวเล็ก อายุที่มากขึ้น คงทำให้คุณตายใจ ว่าเขาน่าจะโตพอจนไม่จำเป็นต้องอยู่ติดพ่อแม่แล้ว แต่อนิจจา อาการเป็นกังวลหรือร้องไห้ตีโพยตีพายยังไม่จากไปไหน แต่มาพร้อมกับเงื่อไขใหม่ๆในชีวิต เช่น แม่มีน้อง ต้องเข้าโรงเรียนพ่อไม่สบาย กำลังจะย้ายบ้าน เป็นต้น

ในกรณีที่บ้านจะมีน้องใหม่ลูกอากลัวว่าจะถูกแย่งความรัก ส่วนการเข้าโรงเรียนเขาจะรู้สึกไม่มั่นใจเมื่อต้องไกลจากพ่อแม่ แต่ยังนับว่าโชคดีความกังวลเหล่านี้จะอยู่กับลูกแค่ไม่กี่สัปดาห์


รับมืออย่างไร
  • บอกลูกว่าสิ่งที่เขากังวลไม่ได้เลวร้าย ยับยั้งคำพูดประเภทที่ว่า "โตแล้วนะเรา อย่างอแงสิ" ทางที่ดีดึงเขากอดแล้วบอกทำนองว่า "แม่รู้นะว่าหนูไม่สบายใจ ไหนลองคิดถึงสิ่งที่หนูกลัวแต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีอะไรสิลูก อย่างตอนที่เราลงเล่นสระว่ายน้ำครั้งแรกไงจ๊ะ"
  • มีเวลาให้เขาเป็นพิเศษ
  • ทำตารางเวลา กำหนดเวลาให้เป็นแบบแผนจะช่วยให้ลูกเรียนรู้ถึงลำดับก่อนหลังในชีวิต
  • พยายามอย่าตามใจลูก พึงระลึกไว้ว่าเด็กจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนระเบียบ วินัย ฉะนั้นแทนที่จะยอมตามใจลูกตลอดเวลา ลองเปลี่ยนเป็นดึงเขามากอดมาหอมปลอบใจแทน

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก

"ครรภ์ไข่ปลาอุก" เป็นคำที่คุณแม่ฟังแล้วอาจจะงงและไม่คุ้นเคย ทั้งที่ความจริงเป็นเรื่องอันตราย เพราะเป็นการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ คล้ายกับมะเร็งชนิดหนึ่ง ซึ่งต้องทำการรักษาทันที่ที่ตรวจพบ

การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก เป็นความผิดปกติที่ทำให้ไม่มีเนื้อเยื่อส่วนที่จะพัฒนาเป็นทารกเกิดขึ้นหลังจากการปฎิสนธิ แต่มดลูกกลับขยายตัวมากกว่าปกติ มิหนำซ้ำ ร่างกายของคุณแม่ยังผลิตฮอร์โมนการตั้งครรภ์เหมือนว่าที่คุณแม่ทั่วไป

ลักษรณะเฉพาะของครรภ์ไข่ปลาอุก คือ รกบวม ขยายขนาดเต็มโพรงมดลูก แต่ไม่พบตัวเด็ก ภายในรกมีแต่ถุงน้ำใสๆเกาะกันแน่นคล้ายพวงองุ่น บางครั้งพบร่วมกับถุงน้ำที่รังไข่ทั้งสองข้าง การตั้งครรภ์แบบนี้ไม่สามารถตั้งครรภ์ครบกำหนด และ คลอดทารกออกมาได้ เพราะไม่มีส่วนที่จะเจริญเป็นตัวเด็กมาตั้งแต่ต้น หากไม่ทำการตรวจสอบรักษาและปล่อยไปเรื่อยๆ อาจจะทำให้มีอาการคล้ายภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือ ไทรอยด์เป็นพิษ เป็นอันตรายแก่คุณแม่ผู้ตั้งครรภ์ ปัจจุบันยังไม่มีผู้ใดทราบสาเหตุที่แน่นอน ที่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก แต่ส่วนใหญ่แล้วมักพบในแม่ที่มีอายุมาก

อาการผิดสังเกตของครรภ์ไข่ปลาอุก เมื่อคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุกจะมีอาการเหมือนการตั้งครรภ์ปกติ คือ ประจำเดือนไม่มา แพ้ท้อง คลื่นไส้ อาเจียน บางรายอาจจะมีอาการมากว่าคนท้องทั่วไป เนื่องจากระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์สูงกว่าขนาดของมดลูกใหญ่กว่าปกติ ถ้าวินิจฉัยโดยใช้การตรวจเลือดดูระดับฮอร์โมนอย่างเดียว อาจเข้าใจผิดไปว่าเป็นการตั้งครรภ์แฝดได้
อาการสำคัญซึ่งต้องสงสัยว่าอาจจะเป็นการตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก คือ มีเลือดออกกระปริบ กะปรอย เลือดเป็นสีน้ำตาล อากเรื้อรังหลายๆวัน จนกระทั่งมีเลือดออกมาก บางครั้งอาจจะมีชิ้นเนื้อออกมาเป็นลักษณะถุงน้ำใสๆ เป็นพวงคล้ายไข่ปลา เป็นที่มาของชื่อครรภ์ไข่ปลาอุก
การวินิจฉัยที่แน่นอนสำคัญโรคนี้ประกอบไปด้วย การตรวจร่างกาย ดูขนาดมดลูก และการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง หรือ อัลตราซาวนด์ บางครั้งถ้านำชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา อาจพบส่วนเคยเป็นเนื้อเยื่อของทารก แต่เป็นเนื้อเยื่อที่ไม่สมบูรณ์ เพราะมีรูปแบบโครโมโซมผิดปกติ

การรักษา การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุกที่มีภาวะแทรกซ้อนจะไม่ทำอันตรายถึงแก่ชีวิต หากคุณแม่ไปตรวจและทำอัลตราซาวนด์แล้วไม่พบตัวเด็ก รวมทั้งมีลักษณะของรกที่ผิดปกติดังที่กล่าวมา คุณหมอจะเริ่มต้นกระบวนการรักษาด้วยการขูดมดลูก

เครื่องมือขูดมดลูกสำหรับอาการนี้จะแตกต่างจากการขูดมดลูกทั่วไป คือต้องมีเครื่องดูดของเหลวและชิ้นเนื้อครรภ์ปลาอุกในโพรงมดลูก เพื่อป้องกันการตกเลือด หากใช้เครื่องมือขูดมดลูกทั่วไปจะทำให้คุณแม่เสียเลือดมากกว่าปกติ คุณหมอที่ดูแลต้องระมัดระวังกรณีมดลูกทะลุขณะทำการขูดมดลูกเป็นพิเศษ เพราะโรคนี้จะทำให้มดลูกนุ่มกว่าปกติ

หลังกจากขูดมดลูกแล้ว สูติแพทย์จะนำชิ้นเนื้อที่ขูดได้ส่งตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อยืนยันว่าใช่ครรภ์ปลาอุกหรือไม่ หากคุณแม่ป่วยเป็นโรคนี้จริงจะต้องรักษาและตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง ด้วยการตรวจเลือดหาระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ (beta-HCG) เป็นระยะๆ หลังมีการตั้งครรภ์ไข่ปลาอุกต้องมีกาตรวจติดตามเฝ้าระวังว่ามีเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูกหรือไม่ เพราะครรภ์ไข่ปลาอุกอาจกลายเป็นมะเร็งได้

ภาวะแทรกซ้อน
หญิงตั้งครรภ์ไข่ปลาอุกส่วนหนึ่งมีภาวะแทรกซ้อนเป็นมะเร็งเนื้อรก ต้องทำการรักษาด้วยเคมีบำบัดเหมือนโรคมะเร็วชนิดอื่นๆ แต่ที่โชคดีคือ ถ้าเป็นมะเร็งเนื้อรกร่างกายจะตอบสนองยาเคมีบำบัดได้ดี พูดง่ายๆคือ รักษาหายขาดเป็นส่วนใหญ่ กรณีที่พบครรภ์ไข่ปลาอุกร่วมกับถุงน้ำที่รังไข่ จะต้องเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดถุงน้ำ แต่ใช้การรักษาด้วยการขูดมดลูกและรอจนฮอร์โมนกลับสู่ภาวะปกติ

ตั้งครรภ์ใหม่และโอกาสเกิดซ้ำ

คุณแม่ที่เคยเป็นครรภ์ไข่ปลาอุกสามารถตั้งครรภ์และมีบุตรได้ไม่ต่างจากคนทั่วไปแต่ต้องรออีกประมาณ 1 ปีหลังสิ้นสุดการรักษา แล้วจึงเริ่มวางแผนตั้งครรภ์ใหม่ วิธีการคุมกำเนิดที่เป็นที่ยอมรับกันคือ การกินยาคุมกำเนิด เพราะเป็นวิธีที่ทำให้ประจำเดือนมาปกติ ไม่มีเลือดออกกะปริบกะปรอย ประสิทธิภาพของการป้องกันการตั้งครรภ์อยู่ในระดับสูง เชื่อถือได้ ที่สำคัญคือตัวเองกินยาคุมให้ถูกต้องและสม่ำเสมอด้วย


การป้องกัน
เนื่องจากไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน และ ปัจจัยภายนอกไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค เราจึงไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์แบบนี้ได้

แม่ท้องขึ้นเครื่องบิน



แม่ท้องขึ้นเครื่องบิน ท้องอยู่ แต่มีแผนจะเดินทางไปต่างประเทศ ถ้าขึ้นเครื่องบินจะเป็นอันตรายหรือไม่

ว่าที่คุณแม่ที่มีธุระหรือวางแผนการเดินทางในช่วงตั้งครรภ์ สามารถเดินทางโดยเครื่องบินขนาดใหญ่ที่มีการปรับระดับความดันในห้องโดยสารเป็นอย่างดีได้อย่างปลอดภัยครับ

การเดินทางโดยเครี่องบินไม่มีผลต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น อัตราการแท้ง ความผิดปกติของทารกในครรภ์ หรือการคลอดก่อนกำหนด แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าการตั้งครรภ์ของคุณมีข้อควรระวัง เช่น ภาวะรกเกาะต่ำ ปากมดลูกหย่อน มีประวัติการแท้ง หรือ แท้งคุกคามบ่อยๆหรือไม่

หากมีข้ควรระวัง คุณแม่ก็ไม่ควรเดินทางโดยเครื่องบินโดยไม่จำเป็น ถ้าเกิดอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง หรือมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ภายในเครื่องบินจะไม่มีอุปกรณ์และบุคลากรที่พร้อมจะให้ความดูแลคุณแม่อย่างปลอดภัย
ข้อแนะนนี้รวมถึง ช่วงใกล้คลอดด้วยเพราะ ไม่มีสายการบินไหนพร้อมที่จะดูแลกรณีคุณแม่เกิดคลอดฉุกเฉิน หากจำเป็นต้องเดินทางจริงๆ คุณแม่คงต้องขอคำแนะนำจากสูติแพทย์ผู้ดูแล และขอใบรับรองแพทย์เรื่องอายุครรภ์ที่ถูกต้องด้วย

"แม่ท้องสามารถโดสารเครื่องบินได้ยกเว้นในกรณีที่มีข้อควรระวังเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนต่างๆ"

เครื่องสแกนก่อนขึ้นเครื่องบินเป็นอันตรายกับครรภ์หรือไม่ หากเครื่องสแกนนั้นมีปริมาณรังสี คุณแม่ที่ต้องเดินทางบ่อยๆควรหลีกเลี่ยง เพื่อไห้ทารกในครรภ์ได้รับรังสีมากเกินไป ถึงแม้ว่าจะไม่มีรายงานทางการแพทย์ว่าเครื่องสแกนของสนามบินทำให้เด็กพิการ แต่หมอว่าถ้าเลี่ยงได้ก็น่าจะปลอดภัยกว่าครับ คุณแม่สามารถขอใบรับรองแพทย์จากสูติแพทย์ผู้ดูแล เพื่อแสดงกับทางสนามบินในการยืนยันว่าตั้งครรภ์จริง และ ขออนุญาติไม่เข้าเครื่องแสกนได้

อายุครรภ์เท่าใดไม่ควรเดินทางด้วยเครื่องบิน
American International Airlines หรือ Delta Air Lines อนุญาตใหสตรีมีครรภ์เดินทางด้วยเครื่องบินได้จนถึงเดือนที่ 9 ยกเว้น 7 วันก่อนคลอด ที่จะมีกฎให้ว่าที่คุณแม่งดบิน ส่วนสายการบินไทยจะงดให้บริการสตรีมีครรภ์ในเส้นทางบินระหว่างประเทศในอายุครรภ์ 28-30 สัปดาห์ขึ้นไป
หลักการของทุกสายการบินน่าจะเหมือนกันแต่ข้อห้ามอาจะต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเส้นทางบินนั้นๆว่าใช้เวลานานเท่าไหร่ ควรสอบถามกับสายการบินที่จะเดินทางก่อนล่วงหน้า ดีที่สุด

ภาวะครรภ์เป็นพิษ



ภาวะครรภ์เป็นพิษ รู้ทัน... ตั้งครรภ์ปลอดภัย
ภาวะครรภ์เป็นพิษ คือ อะไร
ภาวะครรภ์เป็นพิษ เป็นภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ที่มีอันตราย พบได้ตั้งแต่ร้อยละ 5-10 ของผู้หญิงตั้งครรภ์ มักเกิดในอายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ ยิ่งเกิดเร็วก็ยิ่งรุนแรงและมีความเสี่ยงสูง


ประเภทของภาวะครรภ์เป็นพิษ
1. ชนิดไม่รุนแรง (Mild, Moderate Preeclampsia) พบได้ร้อยละ 75 ของผู้ป่วยครรภ์เป็นพิษ อาจไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ
2. ชนิดรุนแรง (Servere Preeclampsia) พบได้ร้อยละ 25 (ประมาณร้อยละ 1 ของการตั้งครรภ์) หากเป็นภาวะครรภ์เป็นพิษชนิดนี้ จะมีอาการใดอาการหนึ่ง หรือ หลายอาการดังต่อไปนี้
  • ความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรง
  • มีไข่ขาวออกมาในน้ำปัสสาวะมากกว่า 2 กรัมใน 2 ชั่วโมง
  • ปวดหัวและหรือตามัว
  • แน่นท้องและหรือเจ็บชายซี่โครงขวา
  • ปอดบวมน้ำ (Pulmpnary Edem)
  • การทำงานของตับหรือไตผิดปกติ
  • เกล็ดเลือดต่ำ
  • ปัสสาวะน้อยกว่า 500 ซีซีต่อวัน
  • ทารกในครรภ์ไม่เจริญเติบโตหรือเจริญเติบโตช้า (IUGR) หรือน้ำคร่ำของเด็กมีน้อย
ภาวะครรภ์เป็นพิษชนิดรุนแรงนี้มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงมาก อาจทำให้มารดาและบุตรเสียชีวิต ด้วยอาการ
  • ชัก (Eclampsia) ตามมาด้วยคนตั้งครรภ์โคม่า หรือ ภาวะแทนซ้อนรุนแรงอื่นๆ
  • รกลอกตัวก่อนกำหนด (Apruptio Placenta) หากอาการรุนแรงจะทำให้ทารกตายในครรภ์
  • กลุ่มอาการ HELLP เลือดไม่แข็งตัวเกล็ดเลือดต่ำและการทำงานของตับในผู้หญิงตั้งครรภ์ผิดปกติ
  • เลือดออกในสมองคุณแม่
  • เลือดออกใต้ผิวของคุณแม่ (Subcapsular Hemorrhage) หรือตับแตก
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดถึงสาเหตุที่แท้จริงของครรภ์เป็นพิษ มีหลายทฤษฎี ที่อธิบายถึงภาวะนี้ ทฤษฎีที่น่าเชื่อถือท่สุดคือทฤษฎีที่ว่าครรภ์เป็นพิษเกิดจากภูมิคุ้นกันผิดปกติ(Immune Reaction) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการที่รกฝังตัวที่มดลูกตื้นเกินไป ทำให้เลือดไปเลี้ยงรกได้ไม่พอ จนรกขาดออกซิเจนเกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้นกันที่ผิดปกติ จนกระทั่งนกปล่อยสารเคมีบางอย่างซึ่งมีผลต่อเลือดของคุณแม่ ทำให้เกิดความผิดปกติต่างๆ เช่น เส้นเลือดอักเสบ หดตัว เลือดแข็งตัวผิดปกติ เกล็ดเลือดต่ำ เส้นเลือดรั่ว ฯลฯ
ความผิดปกติดังกล่าวส่งผลให้เกิดของครรภ์เป็นพิษ 3 ประการได้ ความดันโลหิตสูง บวม(หลังเท้า หน้าแข้ง มือ ใบหน้า) และ มีโปรตีนออกมาจากปัสสาวะ

ปัจจัยเสี่ยสูงที่จะเกิดครรภ์เป็นพิษ
1. พันธุกรรม ว่าที่คุณแม่จะมีความเสี่ยงสูง
2. ประวัติการตั้งครรภ์ ได้แก่ การที่เมื่อท้องครั้งก่อนๆมีอาการครรภ์เป็นพิษ
3. อ้วน มีน้ำหนักตัวโดยรวม 30 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
4. อายุ ตั้งครรภ์ในวัยรุ่น หรือในคุณแม่อายุมาก
5. โรกประจำตัว ที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของเส้นเลือด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต โรคเกล็ดเลือดต่ำ โรบตับ โรคปวดหัวไมเกรน เป็นต้น
6. ตั้งครรภ์ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นทารกในครรภ์ผิดปกติ เช่น ทารกบวมน้ำจากโรงเลือดธาลัสซีเมีย (Hydrop Fetails)
7. สภาพแวดล้อม ที่เป็นพิษ เช่น ปนเปื้อนสารตะกั่ว
8. พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ เช่น การสูบบุหรี่
9. ความเครียด ทำให้เกิดครรภ์เป็นพิศได้ เพราะ เมื่อว่าที่คุณแม่เครียดร่างกายจะปล่อยสาร catecholamine ออกมาทำให้เส้นเลือดหดตัว
10. การรับประทานอาหาร ภาวะการขาดอาหารนำไปสู่โรงครรภ์เป็นพิษ

สำหรับเรื่องอาหาร ขอแนะนำว่าที่คุณแม่ควรรับประทานอาหารให้หลากหลาย เพื่อให้ร่างกายไม่ขาดสารอาหารประเภทใด สำคัญคือ ควรเพิ่มโปรตีนจากนม ไม่ว่าเป็นนมวัวหรือนมถั่วเหลือง

แม่ท้องต้องรู้: อาการผิดปกติที่อาจะเป็นสัญญาณของอาการครรภ์เป็นพิษ
1. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
2. อาการบวมที่หลังเท้า
3. ปวดศรีษะ
4. ตั้งครรภ์เกิน 20 สัปดาห์แล้วลูกในท้องไม่ดิ้น
5. ชัก

วิธีการรักษาภาวะครรภ์เป็นพิษ
ภาวะครรภ์เป็นพิษมีวิธีรักษาวิธีเดียว คือ การยุติการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะภาวะครรภ์เป็นพิษชนิดรุนแรง หากทำการรักษาแล้วจะตั้งครรภ์ได้กี่เดือนก็ควรเอาเด็กออก เพื่อช่วยชีวิตแม่
โอกาสรอดของทารกที่มารดาเป็นโรคครรภ์หากต่ำกว่า 26 สัปดาห์ โอกาสรอดน้อยจนแทบไม่มีเลยแต่หากลูกอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ โอกาสที่เด็กจะรอดมีถึงร้อยละ 90

โรคครรภ์เป็นพิษนั้นตอกย้ำถึงสัจธรรมว่า ธรรมชาติเก่งกว่ามนุษย์ โรคนี้ไม่สามารถป้องกันได้แต่จะไม่เกิด หากไม่ตั้งครรภ์ สำหรับคุณแม่ที่มีอาการครรภ์เป็นพิษชนิดไม่รุนแรง หากตั้งครรภ์ใหม่จะมีโอกาสเกิดครรภ์เป็นพิษซ้ำได้ร้อยละ 5-7 แต่ถ้าหากเคยมีอาการครรภ์เป็นพิษชนิดรุนแรง มีโอกาสเกิดซ้ำได้ร้อยละ 60-80 ดังนั้นคุณแมจึงไม่ควรตั้งครรภ์อีก เนื่องจากความเสี่ยงสูง หากจะตั้งครรภ์ ต้ออยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

คุณแม่ชาวไทยเมินเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

กระทรวงสาธารณสุขระบุบว่า จากผลการศึกษาขององค์การยูนิเซฟ พบว่าประเทศไทยมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนเพียงร้อยละ 5.4 ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในเอเชียและเป็นอันดับ 3 ก่อนสุดท้ายของโลก อีกทั้งผลสำรวจพัฒนาการสมวัยของเด็กวัยต่ำกว่า 5 ขวบก็พบว่ามีแนวโน้มลดลง จากรอยละ 72 ในปี 2547 เหลือร้อยละ 68 ในปี 2550

เจอเรื่องน่าเป็นห่วงอย่างนี้ทางกระทรวงจึงตั้งมาตราการ 2 เรื่อง คือ พัฒนาโรงพยาบาลทั่วประเทศทั้งรัฐบาลและเอกชนให้เป็นโรงพยาบาลสายใยรักครอบครัว  ปลอดการขายนมผง และส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ทั่วประเทศกว่า 8 คนสำรวจหญิงไทยทุกชุมชนเพื่อสนับสนุนให้เลี้ยงด้วยน้ำนมแม่อย่างเดียวเป็นระยะเวลา 6 เดือน และ เลี้ยงควบคู่อาหารตามวัยจนลูกอายุ 2 ขวบหรือมากกว่านั้น

มีผลวิจัยทั่วโลกยืนยันตรงกันว่า เด็กที่กินนมแม่จะมีสติปัญญาดีกว่าเด็กที่ไม่ได้กิน ลดโอกาสเกิดโรงภูมิแพ้และไม่ป่วยบ่อย นอกจากนี้ หากแม่เลี้งลูกด้วยนมแม่ได้ 6 เดือนจะช่วยประหยัดเงินซื้อนมผงเดือนละ 3,000 บาทหรือปีละ 14,400 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายหญิงไททยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวเป็นระยะเวลา 6 เดือนให้ได้ร้อยละ 30 ในปี 2553

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

ลูกใคร นอนกรน! สังเกตให้ดี

ข้างๆคุณมีช่างเลื่อยไม้นอนอยู่ด้วยหรือเปล่า เด็กส่วนมากจะนอนกรนบ้างเป็นครั้งคราว แต่ถ้าลูกน้อยของคุณกรนเป็นประจำทุกคืน (10-20 เปอร์เซ็นต์ของเด็กวัยเตาะจะนอนกรน) คุณก็ต้องจับตา สังเกตอาการกรนของลูกให้ดี

เพราะการนอนกรนเป็นสัญญาณบอกว่า ทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์ (ต่อมที่อยู่ข้างทอนซิล) หรือทั้งคู่เกิดอาการบวม จริงๆแล้วเสียงกรนที่คุได้ยินจากลูกนั้นเป็นการสั่นของเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าว ซึ่งมีอากาศผ่านเข้าออก และเนื้อเยื่อบริเวณนี้บางส่วนอาจปิดกั้นทางเดินหายใจได้
คุณหมอลูวีส เจ แคส กุมารแพทย์เชี่ยวชาญด้านโรงระบบทางเดินหายใจ และ ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ โรงพยาบาลเมนท์คิสโค นิวยอร์ก อธิบายว่า หากการนอนกรนเกิดรุนแรง อาจทำให้ลูกหายใจลำบาก หรือเกิดภาวะที่เรียกว่า ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) และ ทำให้ลูกนอนหลับได้ไม่ดี หลับๆตื่นๆ เพราะเมื่อลูกต้องพยายามหายใจ ลูกเลยเหมือนถูกปลุกตื่นเป็นระยะๆไปด้วย

ถ้าหากไม่รักษาอาการนอนกรน ลูกอาจเกิดปัญหานอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิ หรือ แม้นแต่พัฒนาการล่าช้า ผลการศึกษาใหม่ล่าสุดในเด็กก่อนวัยเรียนที่นอนกรนใน "Journal of Development & Behavioral Pediatrics" รายงานว่า ภาวะนอนกรนอาจทำให้เกิดความผิดปกติทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้าและภาวะวิตกกังวลในเด็กได้

หากจะเอาชนะอาการนอนกรน
  • ขั้นแรก คุณต้องรู้ให้ได้ชัดเจนว่า สาเหตุอะไรที่ทำให้ทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์ยวม หรือ โตขึ้นและรักษาที่ต้นเหตุ
    • ทารก อาการแหวะนม ซึ่งเป็นอาการปกติของวัยนี้ อาจะทำให้กรดในท้องไหลย้อนขึ้นมา ทำให้ทอนซินเกิดระคายเคืองจนเป็นเหตุให้ทอนซิลบวมได้
    • เด็กอายุระหว่าง 2-5 ขวบ มักจะนอนกรนบ่อย เพราะทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์มีขนาดโตเกินไป คือไม่ได้สัดส่วนกับขนาดของรูปร่างเด็ก และ เด็กบางคนที่เป็นหวัดอาจนอนกรนจนกว่าหวัดจะแสดงอาการเพราะเนื้อเยื่อของทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์บวมขึ้นระหว่างที่ร่างกายติดเชื้อ
  • ควรปรึกษาแพทย์ ถ้าคุณกังวลกับอาการอนอนกรนของลูกน้อย ควรบอกหมอให้ละเอียดด้วย ถ้าลูกยังขยับตัวมากหรือมีเหงื่อออกตลอดทั้งคืน มีปัญหาการหายใจในระหว่างวันหรือต้องอ้าปากหายใจ เป็หูติดเชื้อบ่อยๆ หรือผิดหนังบริเวณรอบปากจูมกและดวงตาดูเขียวคล้ำ (เป็นสัญญาณว่าต่อะดีนอยด์โต) และ หากคุณหมอสรุปว่าทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์ของลูกใหญ่ ไม่สมส่วนกับร่างกายของเขา คุณหมอจะแนะำนำว่าควรักษาด้วยการตัดออก

กระบวนการคิดวิเคราะห์

กระบวนการคิดวิเคราะห์ ให้ลูกน้อยรู้จักคิด และแก้ไขปัญหาง่ายๆ โดยเริ่มจากที่บ้าน


กระบวนการคิดวิเคราะห์ คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรต่อเด็ก?


กระบวนการคิดวิเคราะห์ คือทักษะหนึ่งของกระบวนการคิด และการทำงานของสมองที่ประกอบด้วยความสามารถในการวางแผน การจดจำ และการมีสามาธิที่ดี เพราะความสามารถนี้ขึนอยู่กับประสบการณ์ของเด็กแต่ละคนซึ่งมีไม่เท่ากัน อยู่ที่การส่งเสริมจากพ่อแม่ เช่นเมื่อเกิดปัญหา หนทางแก้ไขไม่ได้มีทางเดียวแต่อยู่ที่ว่าจะเลือกทางไหน เพื่อให้ไปถึงจุดหมายเดียวกันคุณพ่อคุณแม่จึงมีส่วนช่วยแนะนำ และ ส่งเสริมให้เด็กประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาตั้งแต่วัยเล็กๆ เพื่อพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ การสังเกต และ การเรียนรู้ของลูกน้อยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้เด็กมีความมั่นใจ และสามารถทำงานที่ยิ่งใหญ่กว่าให้สำเร็จได้ในอนาคต


การสร้าง กระบวนการคิดวิเคราะห์ ทำได้อย่างไรบ้าง?

การสร้างกระบวนการคิดวิเคราะห์ สามารถเริ่มต้นจากการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่ การจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ให้เหมาะสมกับวัยของลูกน้อย โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างกระบวนการคิดวิเคราะห์ให้ลูกน้องได้ง่ายๆ ที่บ้าน เช่น ลูกวัย 0-1 ปี เล่นจ๊ะเอ๋ ต่อจิ๊กซอว์ การซ่อนของเล่นให้ลูกหา การต่อบล็อกไม้ หรือของเล่นชนิดกล่องหยอดรูปทรง เมื่อลูกเติบโตขึ้น คุณพ่อคุณแม่สามารถเล่นกิจกรรมทีี่ซับซ้อนขึ้นตามวัย เช่น เกมจับคู่ของเหมือนหรือต่างกัน การจัดเรียงลำดับสิ่งของ การจับคู่สิ่งของที่สัมพันธ์กัน เป็นต้น

ประโยชน์ที่ได้จากการมี กระบวนการคิดวิเคราะห์
  • มีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เมื่อเด็กเคยมีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาให้สำเร็จตามเป้าหมาย เขาจะมีความกล้าในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพิ่มเติมในอนาคต
  • มีทักษะการแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต เด็กที่ได้รับการส่งเสริมให้เล่นอย่างคิดวิเคราะห์ ตั้งแต่วัยเด็กจะพัฒนาเรื่องทักษะการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเติบโตขึ้น
  • มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เพราะเมื่อเขาสามารถตัดสินใจหรือทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ก็จะช่วยให้เขามีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น